Affirmative Sentence คือประโยคบอกเล่าที่ใช้ได้ทุกวัน รู้ไว้ไม่งง!
การสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในโครงสร้างประโยคพื้นฐาน หนึ่งในรูปแบบประโยคที่สำคัญและใช้บ่อยที่สุดในการสื่อสารคือ affirmative sentence หรือ ประโยคบอกเล่า ซึ่งเป็นประโยคที่ใช้แสดงข้อความ ข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นในเชิงยืนยัน การเชี่ยวชาญในการสร้างและใช้ affirmative sentence ช่วยให้คุณสามารถถ่ายทอดข้อมูลได้อย่างชัดเจนและมั่นใจ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจโครงสร้าง หลักการใช้งาน และตัวอย่างของ ประโยค บอก เล่า ภาษาอังกฤษ อย่างครบถ้วน
I. Affirmative sentences คืออะไร
Affirmative sentence หรือ ประโยคบอกเล่า ภาษาอังกฤษ คือประโยคที่ใช้แสดงความจริง ข้อเท็จจริง การกระทำ หรือสภาวะในเชิงยืนยันหรือบวก โดยไม่มีคำปฏิเสธ (negative words) เช่น not, never, no, none ประโยคประเภทนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดและใช้บ่อยที่สุดในการสื่อสารทั้งการพูดและการเขียน
Affirmative sentence มีลักษณะสำคัญดังนี้:
- แสดงความยืนยัน: ประโยคแสดงถึงสิ่งที่เป็นจริง เกิดขึ้น หรือมีอยู่ โดยไม่ปฏิเสธหรือโต้แย้ง ตัวอย่างเช่น "The sun rises in the east." (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
- ไม่มีคำปฏิเสธ: ประโยคบอกเล่า ไม่ประกอบด้วยคำที่แสดงการปฏิเสธ เช่น not, never, no, nothing, nobody, nowhere เป็นต้น
- มีโครงสร้างพื้นฐาน: โดยทั่วไปจะมีรูปแบบ Subject (ประธาน) + Verb (กริยา) + Object/Complement (กรรม/ส่วนเสริม) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย
- ใช้ในการให้ข้อมูล: เป็นรูปแบบหลักในการถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นในเชิงบวก
ความแตกต่างระหว่าง Affirmative Sentence และประโยคประเภทอื่น
|
ประเภทประโยค |
ลักษณะ |
ตัวอย่าง |
|
Affirmative Sentence (ประโยคบอกเล่า) |
แสดงความยืนยัน ไม่มีคำปฏิเสธ |
She speaks English fluently. |
|
Negative Sentence (ประโยคปฏิเสธ) |
แสดงการปฏิเสธ มีคำ not, never, no |
She does not speak English fluently. |
|
Interrogative Sentence (ประโยคคำถาม) |
ถามคำถาม ลงท้ายด้วยเครื่องหมายคำถาม |
Does she speak English fluently? |
|
Imperative Sentence (ประโยคคำสั่ง) |
สั่ง ขอร้อง แนะนำ |
Speak English fluently! |
|
Exclamatory Sentence (ประโยคอุทาน) |
แสดงอารมณ์ ลงท้ายด้วยเครื่องหมายอุทาน |
She speaks English so fluently! |
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง affirmative sentence และประโยคประเภทอื่นช่วยให้คุณเลือกใช้รูปแบบประโยคที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการสื่อสารของคุณ
II. โครงสร้างของ Affirmative Sentence
โครงสร้างของ affirmative sentence จะแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับกาลของประโยค (tense) แต่โดยพื้นฐานแล้วจะมีรูปแบบหลักที่สอดคล้องกัน การทำความเข้าใจโครงสร้างตามกาลต่างๆ ช่วยให้คุณสร้างประโยคได้ถูกต้องและหลากหลาย
1. โครงสร้างตามกาลเวลา
|
กาล (Tense) |
โครงสร้าง |
Affirmative Sentence Example |
คำอธิบาย |
|
S + V1 (s/es) + O |
She works at a hospital. (เธอทำงานที่โรงพยาบาล) |
ใช้กริยาช่อง 1 เติม s/es กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 |
|
|
S + am/is/are + V-ing + O |
They are studying English now. (พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษตอนนี้) |
ใช้ am/is/are + กริยาเติม -ing |
|
|
S + has/have + V3 + O |
He has finished his homework. (เขาทำการบ้านเสร็จแล้ว) |
ใช้ has/have + กริยาช่อง 3 |
|
|
S + V2 + O |
I visited Bangkok last year. (ฉันไปเยือนกรุงเทพฯ ปีที่แล้ว) |
ใช้กริยาช่อง 2 |
|
|
S + was/were + V-ing + O |
She was reading a book. (เธอกำลังอ่านหนังสือ) |
ใช้ was/were + กริยาเติม -ing |
|
|
S + had + V3 + O |
They had left before I arrived. (พวกเขาออกไปก่อนที่ฉันจะมาถึง) |
ใช้ had + กริยาช่อง 3 |
|
|
S + will + V1 + O |
We will travel to Japan. (เราจะเดินทางไปญี่ปุ่น) |
ใช้ will + กริยาช่อง 1 |
|
|
S + will be + V-ing + O |
I will be working tomorrow. (ฉันจะกำลังทำงานพรุ่งนี้) |
ใช้ will be + กริยาเติม -ing |
2. โครงสร้างกับกริยา "to be"
เมื่อใช้กริยา "to be" (am, is, are, was, were) โครงสร้างของ affirmative sentence จะเป็นดังนี้:
|
กาล |
โครงสร้าง |
ตัวอย่าง |
คำอธิบาย |
|
Present |
S + am/is/are + Complement |
She is a teacher. (เธอเป็นครู) |
ใช้ am/is/are ตามประธาน |
|
Past |
S + was/were + Complement |
They were happy. (พวกเขามีความสุข) |
ใช้ was/were ตามประธาน |
|
Future |
S + will be + Complement |
I will be there soon. (ฉันจะอยู่ที่นั่นเร็วๆ นี้) |
ใช้ will be |
3. โครงสร้างกับกริยาช่วย (Modal Verbs)
Affirmative sentence ที่ใช้กริยาช่วย (can, could, may, might, must, should, would) มีโครงสร้างดังนี้:
|
กริยาช่วย |
โครงสร้าง |
ตัวอย่าง |
ความหมาย |
|
can |
S + can + V1 |
He can speak three languages. |
เขาสามารถพูดได้สามภาษา |
|
could |
S + could + V1 |
She could play piano when she was young. |
เธอสามารถเล่นเปียโนได้ตอนเธอยังเด็ก |
|
may |
S + may + V1 |
It may rain tomorrow. |
อาจจะฝนตกพรุ่งนี้ |
|
must |
S + must + V1 |
You must follow the rules. |
คุณต้องปฏิบัติตามกฎ |
|
should |
S + should + V1 |
We should eat healthy food. |
เราควรกินอาหารที่มีประโยชน์ |
III. การทำ affirmative sentences ให้เป็นประโยคปฏิเสธ
ประโยคบอกเล่าเองก็สามารถทำให้เป็นประโยคบอกเล่าแบบปฏิเสธได้ แล้วเราจะทำอย่างไร มาลองดูวิธีการการทำให้เป็นปฏิเสธด้านล่างนี้กันเลย
1. การใช้ to be
เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าภาษาอังกฤษเป็นประโยคปฏิเสธ เราแค่เติมคำว่า "not" หลัง "to be" ประโยคปฏิเสธ ตัวอย่าง:
| Present Continuous Tense |
They are watching a movie right now. (ตอนนี้พวกเขากำลังดูหนัง) ⏩ They are not watching a movie right now. (ตอนนี้พวกเขากำลังไม่ดูหนัง) |
| Past Continuous Tense |
I was reading a book when the phone rang. (ตอนที่โทรศัพท์ดังเราอ่านหนังสืออยู่) ⏩ I was not reading a book when the phone rings. (ตอนที่โทรศัพท์ดังเราไม่ได้อ่านหนังสืออยู่) |
2. ประโยคกริยาทั่วไป
สำหรับประโยคที่มีกริยาทั่วไป เราต้องใช้ auxilary verb "do/does" มาช่วยและวาง "not" ตามหลังคำ auxilary verb เพื่อเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น:
| Present Simple |
Ms. Kim works at a bank on Sunday. (คุณ Kim ทำงานที่ธนาคารวันอาทิตย์) ⏩ Ms. Kim does not work at a bank. (คุณ Kim ไม่ทำงานที่ธนาคารวันอาทิตย์) |
|
Present perfect tense
|
Aladdin has visited that museum before. (Aladdin เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์นั้นแล้ว) ⏩ Aladdin has not visited that museum before. (Aladdin ไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์นั้นมาก่อน) |
|
Present perfect continuous tense
|
They have been playing soccer all afternoon. (พวกเขาเล่นฟุตบอลทั้งบ่าย) ⏩ They have not been playing soccer all afternoon. (พวกเขาไม่ได้เล่นฟุตบอลทั้งบ่าย) |
|
Past simple tense
|
Hulk visited Paris last summer. (Hulk ไปปารีสเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว) ⏩ Hulk did not visit Paris last summer. (Hulk ไม่ได้ไปปารีสเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว) |
|
Past perfect tense
|
Mona had finished her meal by the time I got there. (Mona กินข้าวเสร็จแล้วตอนที่เรามาถึง) ⏩ Mona had not finished her meal by the time I got there. (Mona ยังกินข้าวไม่เสร็จตอนที่เรามาถึง) |
| Past perfect continuous tense |
My friends had been studying for hours when I called. (เพื่อนๆ เราอ่านหนังสือหลายชั่วโมงแล้วตอนที่เราโทรไป) ⏩ My friends had not been studying for hours when I called. (เพื่อนๆ เราไม่ได้อ่านหนังสือหลายชั่วโมงตอนที่เราโทรไป) |
|
Simple future tense
|
My mother will go to the store tomorrow. (พรุ่งนี้แม่เราจะไปร้าน) ⏩ My mother will not go to the store tomorrow. (พรุ่งนี้แม่เราจะไม่ไปร้าน) |
|
Future continuous tense
|
My team will be working on this project next week. (อาทิตย์หน้าเราจะทำโปรเจกต์นี้) ⏩ My team will not be working on this project next week. (อาทิตย์หน้าเราจะไม่ทำโปรเจกต์นี้) |
|
Future perfect tense
|
Jesus will have finished her book by the end of the month.(ภายในสิ้นเดือนนี้ Jesus จะเขียนหนังสือเสร็จ) ⏩ Jesus will not have finished her book by the end of the month. (ภายในสิ้นเดือนนี้ Jesus เขียนหนังสือไม่เสร็จ) |
|
Future perfect continuous tense
|
By 11 pm tonight, I and my brother will have been watching film for hours. (คืนนี้ตอนห้าทุ่มเรากับน้องชายจะดูหนังหลายชั่วโมงแล้ว) ⏩ By 11 pm tonight, I and my brother not have been watching film for hours. (คืนนี้ตอนห้าทุ่ม เรากับน้องชายจะไม่ดูหนังหลายชั่วโมง) |
3. ประโยคที่มี modal verbs
ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนประโยคบอกเล่าภาษาอังกฤษที่มี modal verbs ให้เป็นประโยคปฏิเสธ เราสามารถเติม not ลงไปตามหลังคำว่า would, could, might ได้เลยตามโครงสร้างดังนี้
S + modal verbs + V-inf + O ⏩ S + modal verbs + not + V-inf + + O
ประโยคปฏิเสธ ตัวอย่าง:
- Clara will be able to finish the project on time. (Clara จะทำโปรเจกต์เสร็จตรงเวลา)
⏩ Clara will not be able to finish the project on time. (Clara จะทำโปรเจกต์เสร็จไม่ตรงเวลา)
- Peter can play the guitar. (Peter เล่นกีตาร์ได้)
⏩ Peter can not play guitar. (Peter เล่นกีตาร์ไม่ได้)
บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม:
ประโยคปฏิเสธ ภาษาอังกฤษ ใช้ยังไง?
รวมประโยคคำถามภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย
IV. แบบฝึกหัด affirmative sentences ภาษาอังกฤษและเฉลย
เพื่อให้ Preppies ทุกคนเข้าใจโครงสร้างและวิธีการใช้งประโยคบอกเล่าภาษาอังกฤษทั้งปกติและปฏิเสธ เรามาทำแบบฝึกหัดกันเลย อย่ารอช้า!
1. แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดที่ 1: เปลี่ยนประโยคปฏิเสธเหล่านี้ให้เป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา
- Archway does not like to swim in the ocean.
- They have not finished their homework already.
- Bob won’t go to the concert tonight.
- My mother does not enjoy eating spicy food.
- We will not visit our grandparents next Sunday.
แบบฝึกหัดที่ 2: ผันคำกริยาในวงเล็บให้ถูกต้อง
- I (travel) to London two weeks ago.
- My friends (watch) a movie at the moment.
- Jack (go) to the gym regularly.
- They (visit) that museum before.
- They (attend) the conference next week.
2. เฉลย
| แบบฝึกหัดที่ 1 | แบบฝึกหัดที่ 2 |
|
|
Affirmative sentence หรือ ประโยคบอกเล่า เป็นโครงสร้างประโยคพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในภาษาอังกฤษ ใช้แสดงข้อความ ข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นในเชิงยืนยันโดยไม่มีคำปฏิเสธ การเข้าใจโครงสร้างของ affirmative sentence ในกาลต่างๆ ช่วยให้คุณสามารถสร้างประโยคที่ถูกต้องและเหมาะสมกับบริบทการสื่อสาร
การใช้ ประโยค บอก เล่า ภาษาอังกฤษ อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในหลักไวยากรณ์ การเลือกใช้กริยาที่เหมาะสม และการรักษาความสอดคล้องของกาล การศึกษา affirmative sentence example จากบริบทต่างๆ พร้อมการฝึกฝนผ่านแบบฝึกหัดช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ affirmative sentence ไม่ว่าจะเป็นในการสนทนาประจำวัน การเขียนอีเมล การเขียนวิชาการ หรือการสื่อสารทางธุรกิจ
การพัฒนาทักษะในการสร้างและใช้ affirmative sentence อย่างสม่ำเสมอผ่านการอ่าน เขียน ฟัง และพูด จะช่วยยกระดับความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของคุณอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้คุณสามารถถ่ายทอดข้อมูลและความคิดได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์
หากคุณต้องการพัฒนาทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษอย่างครบถ้วน รวมถึงการสร้าง affirmative sentence และโครงสร้างประโยคประเภทต่างๆ อย่างถูกต้องเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบระดับสากล คอร์สเรียนเตรียมสอบ IELTS ของ PREP English เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ โปรแกรม IELTS Foundation Program ช่วยสร้างรากฐานภาษาอังกฤษที่มั่นคงผ่านหลักสูตร Grammar Foundation ที่ครอบคลุมการสร้างประโยคทุกประเภท โครงสร้างไวยากรณ์ และการใช้กาลอย่างถูกต้องและเป็นระบบ เมื่อพัฒนาสู่ระดับ IELTS Basic และ IELTS Intermediate คุณจะได้ฝึกฝนการใช้โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนในทั้งสี่ทักษะ โดยมี Virtual Writing Room และ Virtual Speaking Room ที่ใช้เทคโนโลยี AI ตรวจสอบไวยากรณ์และให้ข้อเสนอแนะอย่างละเอียดทันที สำหรับผู้ที่ต้องการบรรลุคะแนนระดับสูง โปรแกรม IELTS Advance พร้อมเสริมสร้างโครงสร้างประโยคขั้นสูงและการใช้ไวยากรณ์อย่างซับซ้อนที่จำเป็นสำหรับการทำคะแนน 7.0+ เริ่มต้นการเรียนรู้กับ PREP วันนี้เพื่อประสบการณ์การเรียนที่มีคุณภาพและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม พร้อมแผนการเรียนที่ปรับให้เหมาะกับระดับและเป้าหมายของคุณโดยเฉพาะ

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมุก ปัจจุบันดูแลด้านเนื้อหาผลิตภัณฑ์ของ Prep Education ค่ะ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในการเรียน IELTS ออนไลน์ด้วยตนเอง ฉันเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ผู้เรียนต้องเผชิญ แล้วก็รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์ก
มุกอยากเอาประสบการณ์ตรงนี้มาช่วยแชร์ แล้วก็ซัพพอร์ตเพื่อน ๆ ให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดค่ะ
ความคิดเห็น
เนื้อหาแบบพรีเมียม
ดูทั้งหมดแผนการเรียนรู้ส่วนบุคคล
อ่านมากที่สุด
ติดต่อ Prep ผ่านโซเชียล
















