เจาะลึกกริยา 3 ช่องของ Drive (Drive-Drove-Driven)

คุณเคยสับสนกับการใช้ "I drove" หรือ "I have driven" ในประโยคหรือไม่? หรือยังไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ควรใช้ "drive" แทน "drove" การใช้กริยา 3 ช่องของ driveผิดพลาดอาจทำให้การสื่อสารภาษาอังกฤษของคุณดูไม่เป็นธรรมชาติและขาดความมั่นใจ

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกการใช้ drive v3, v2 drive, และ drive verb 2 อย่างถูกต้อง พร้อมตัวอย่างประโยคที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้ได้จริง

การเรียนรู้กริยาไม่สม่ำเสมอ (Irregular Verbs) อย่าง drive drove driven เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะกริยาเหล่านี้ปรากฏในการสื่อสารประจำวันถึง 70% และเป็นส่วนหนึ่งของข้อสอบมาตรฐานต่างๆ เช่น IELTS, TOEIC และ Cambridge

นอกจากความหมาย "ขับรถ" แล้ว drive verb 3 ยังมีความหมายหลากหลาย เช่น การกระตุ้น (motivate) การผลักดัน (push forward) และการนำทาง (guide) ซึ่งถือเป็นคำศัพท์หลักในการแสดงออกทางความคิดและอารมณ์

การเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์ของ drive v 2 และการใช้ในรูป Perfect Tenses จะช่วยยกระดับการเขียนและการพูดของคุณ ทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการและการนำเสนอผลงาน

ใน PREP เราจัดเตรียมคำอธิบายอย่างละเอียด ตั้งแต่การใช้ในแต่ละ Tense จนถึงความแตกต่างระหว่าง Active และ Passive Voice พร้อมตัวอย่างประโยคมากกว่า 50 ประโยคที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นธรรมชาติ

มาเริ่มต้นสำรวจความลับของการใช้ Drive, Drove, Driven ให้เชี่ยวชาญกันเลย!

I. ตารางสรุปกริยา 3 ช่องของ Drive

การจำ drive v3 และรูปแบบอื่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ

II. ความหมายและการใช้กริยาแต่ละช่อง (Drive, Drove, Driven)

1. ช่องที่ 1: Drive (Present Simple Tense) 

กริยา Drive ในช่องแรกใช้สำหรับแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความจริงทั่วไป หรือนิสัยประจำ เมื่อใช้กับประธานเอกพจน์บุรุษที่สาม (he, she, it) ต้องเติม -s เป็น "drives"

รูปแบบการใช้ v2 drive ในประโยคปัจจุบันมีดังนี้:

• They drive carefully on rainy days. (พวกเขาขับรถอย่างระมัดระวังในวันฝนตก)

• My father drives a taxi for a living. (พ่อของฉันขับแท็กซี่เป็นอาชีพ)

• We usually drive about 100 kilometers per hour on the highway. (เราปกติขับรถประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 62 ไมล์ต่อชั่วโมงบนทางด่วน)

2. ช่องที่ 2: Drove (Past Simple Tense)

Drive v 2 หรือ Drove ใช้สำหรับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบสิ้นไปแล้วในอดีต โดยไม่ต้องกังวลเรื่องประธาน เพราะรูป Drove ใช้ได้กับประธานทุกตัว

ตัวอย่างประโยคการใช้ Drove:

• Yesterday, I drove 200 kilometers to visit my grandmother. (เมื่อวานนี้ฉันขับรถ 200 กิโลเมตร หรือ 124 ไมล์ไปเยี่ยมยาย)

• She drove through the mountains last weekend. (เธอขับรถผ่านภูเขาเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว)

• The delivery man drove to five different locations this morning. (คนส่งของขับรถไป 5 สถานที่ต่างกันในเช้านี้)

3. ช่องที่ 3: Driven (Past Participle)

การใช้ Driven ใน Perfect Tenses (คู่กับ have/has/had)

Drive v2 ในรูป Past Participle คือ Driven ซึ่งใช้ร่วมกับ auxiliary verbs เช่น have, has, had เพื่อสร้าง Perfect Tenses ที่แสดงการกระทำที่มีความเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน

การใช้ Driven ใน Passive Voice (การถูกกระทำ)

Drive verb 3 หรือ Driven ยังใช้ในการสร้าง Passive Voice เพื่อแสดงว่าประธานถูกกระทำ ไม่ใช่เป็นผู้กระทำ

ตัวอย่างประโยค Passive Voice:

• The car is driven by an experienced driver. (รถคันนี้ถูกขับโดยคนขับที่มีประสบการณ์)

• These vehicles have been driven over 100,000 kilometers. (รถเหล่านี้ถูกขับมาแล้วกว่า 100,000 กิโลเมตร หรือ 62,137 ไมล์)

• The truck was driven through difficult terrain. (รถบรรทุกถูกขับผ่านภูมิประเทศที่ยากลำบาก)

III. ตัวอย่างการใช้ Drive vs Drove vs Driven ในประโยค

การเปรียบเทียบdrive verb 2และรูปอื่นๆ จะช่วยให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น:

IV. ความหมายอื่น ๆ ของ Drive ที่คุณควรรู้

กริยา 3 ช่องของ drive ไม่ได้หมายถึงแค่การขับรถเท่านั้น แต่ยังมีความหมายอื่นๆ ที่สำคัญ

ความหมายพิเศษของ Drive:

• กระตุ้น/ผลักดัน: What drives you to succeed? (อะไรที่กระตุ้นให้คุณประสบความสำเร็จ)

• ขับไล่: The rain drove us indoors. (ฝนทำให้เราต้องเข้าไปในร้าน)

• ทำให้เป็น: The noise drove him crazy. (เสียงดังทำให้เขาเป็นบ้า)

การเข้าใจความหมายเหล่านี้จะช่วยยกระดับการใช้ภาษาอังกฤษของคุณให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บทความแนะนำอ่านต่อ:

กริยา 3 ช่องของ Fall

กริยา 3 ช่องของ Fly

V. FAQs เคลียร์ทุกข้อสงสัย

1. กริยา "Drive" เป็น Irregular Verb (กริยาอปกติ) ใช่หรือไม่? และคืออะไร?

ใช่แล้ว drive drove drivenเป็นกริยาอปกติ (Irregular Verb) เพราะไม่ผันรูปด้วยการเติม -ed เหมือนกริยาปกติ กริยาอปกติมีรูปแบบการผันที่ไม่ตรงตามกฎเกณฑ์มาตรฐาน และต้องจำรูปแบบเฉพาะของแต่ละคำ

คุณสมบัติของกริยาอปกติ:

• มีการเปลี่ยนรูปแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้

• ต้องจำรูปแบบการผันเฉพาะของแต่ละคำ

• ปรากฏในการสื่อสารประจำวันและการสอบมาตรฐานต่างๆ

2. มีกริยาตัวไหนบ้างที่ผันรูปแบบคล้ายกับ Drive (i-o-i-en)?

กริยาหลายตัวมีรูปแบบการผันที่คล้ายกับdrive verb 3โดยมีการเปลี่ยนจากเสียง "i" เป็น "o" ในอดีต และลงท้ายด้วย "-en" ใน Past Participle:

การจำรูปแบบนี้จะช่วยให้คุณเดาความหมายและการใช้กริยาอื่นๆ ที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันได้

3. ใช้ Drive ต่างจาก Ride และ Steer อย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างกริยาเหล่านี้:

Drive:

• หมายถึงการควบคุมยานพาหนะด้วยตนเอง โดยเฉพาะรถยนต์ รถบรรทุก หรือรถบัส

• ผู้ขับต้องมีใบขับขี่และรับผิดชอบการควบคุมทิศทางและความเร็ว

Ride:

• หมายถึงการนั่งหรือขี่บนยานพาหนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ควบคุม

• เช่น ขี่จักรยาน ขี่ม้า หรือนั่งรถเมล์

Steer:

• หมายถึงการควบคุมทิศทางเท่านั้น

• มักใช้กับเรือหรือสถานการณ์ที่ต้องการความระมัดระวังในการหันเลี้ยว

4. การใช้ "I have drove..." ผิดไวยากรณ์เสมอไปใช่ไหม?

ใช่ การใช้ "I have drove" ผิดไวยากรณ์อย่างแน่นอน เพราะหลัง have/has ต้องตามด้วย Past Participle (V3) เสมอ ดังนั้นต้องใช้ "I have driven" เท่านั้น

ตัวอย่างที่ถูกต้อง:

• I have driven this car for three years. (ฉันขับรถคันนี้มาสามปีแล้ว)

• She has driven to every province in Thailand. (เธอเคยขับรถไปทุกจังหวัดในประเทศไทยแล้ว)

ข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นบ่อยเพราะผู้เรียนเข้าใจผิดว่า Past Simple (drove) และ Past Participle (driven) ใช้แทนกันได้

การเรียนรู้กริยา 3 ช่องของ drive อย่างถูกต้องจะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในการสื่อสารเกี่ยวกับการเดินทางและการขนส่ง ซึ่งเป็นหัวข้อที่ปรากฏบ่อยในชีวิตประจำวันและการสอบมาตรฐาน

จุดสำคัญที่ต้องจำ:

• Drive ใช้ในปัจจุบัน

• Drove ใช้ในอดีต

• Driven ใช้ใน Perfect Tenses และ Passive Voice

การฝึกใช้ประโยคเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้อง PREP English แนะนำให้คุณฝึกใช้กริยาเหล่านี้ในบริบทต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการสื่อสาร และหากต้องการเตรียมสอบ IELTS หรือ TOEIC สามารถศึกษาหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งไวยากรณ์และการใช้ภาษาในสถานการณ์จริงได้ที่เว็บไซต์ของเรา