ค้นหาบทความการศึกษา
คำศัพท์เวลาภาษาอังกฤษ ใช้ยังไงให้ถูกต้องในทุกสถานการณ์
การสื่อสารเรื่องเวลาเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน แต่หลายคนกลับพบว่าตัวเองใช้ผิดบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสับสนระหว่าง "in time" กับ "on time" การใช้บุพบทเวลาผิด หรือการบอกเวลาที่ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการสื่อสารและอาจสร้างความเข้าใจผิดในสถานการณ์สำคัญ
เวลาภาษาอังกฤษ เป็นศาสตร์ที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การเรียนรู้ การบอกเวลาภาษาอังกฤษ อย่างถูกต้องจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ภาษา
การเชี่ยวชาญเรื่องเวลาครอบคลุมหลายมิติที่สำคัญ ตั้งแต่การบอกเวลาพื้นฐานแบบ Digital Style และ British Style ที่แตกต่างกันในการใช้งาน การทำความเข้าใจ Time vocabulary ที่หลากหลาย เช่น o'clock, half past, quarter to ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ การใช้บุพบทเวลา At, On, In ให้ถูกต้องตามบริบท และการประยุกต์ใช้คำศัพท์ช่วงเวลาต่างๆ ของวันอย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ยังรวมถึงการเข้าใจความแตกต่างระหว่าง For และ Since ในการบอกระยะเวลา การใช้คำวิเศษณ์บอกความถี่ เช่น always, often, sometimes อย่างเหมาะสม และการนำ Idiom about time มาใช้ให้การสื่อสารฟังเป็นธรรมชาติ เช่น "time flies", "in the nick of time" ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับภาษา การเรียนรู้ Time expressions เหล่านี้จะช่วยยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของคุณอย่างเห็นได้ชัด
บทความนี้จะนำเสนอเทคนิคและหลักการใช้คำศัพท์เวลาภาษาอังกฤษอย่างครอบคลุม ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับสูง พร้อมตัวอย่างประโยคที่ใช้ได้จริงและคำอธิบายที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถใช้เวลาภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจและแม่นยำในทุกสถานการณ์
มาเริ่มต้นการเดินทางสู่ความเชี่ยวชาญด้านเวลาภาษาอังกฤษที่จะเปลี่ยนแปลงทักษะการสื่อสารของคุณไปตลอดกาล

- I. การบอกเวลา
- II. บุพบทบอกเวลา (Prepositions of Time): At, On, In ใช้ต่างกันอย่างไร?
- III. คลังศัพท์เกี่ยวกับช่วงเวลาและลำดับเหตุการณ์
- IV. การบอกระยะเวลาและความถี่
- V. สำนวนและวลีเกี่ยวกับเวลาที่ใช้บ่อย (Common Idioms and Phrases about Time)
- VI. รวมประโยคถาม-ตอบเรื่องเวลาที่ใช้ได้จริง
- VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อควรรู้เพิ่มเติม
I. การบอกเวลา
1. การบอกเวลาแบบง่าย
วิธีง่ายที่สุดในการบอกเวลาภาษาอังกฤษคือการอ่านตัวเลขตามที่เห็นหน้าปัดนาฬิกาดิจิทัล แบบนี้เรียกว่า Digital Style ซึ่งเป็นที่นิยมในอเมริกา การอ่านแบบนี้มีรูปแบบดังนี้:
-
การอ่านเวลาชั่วโมงตรง: Three o'clock (สามโมงตรง)
-
การอ่านเวลาที่มีนาที: Seven fifteen (เจ็ดโมงสิบห้านาที)
-
การอ่านเวลาครึ่งโมง: Nine thirty (เก้าโมงครึ่ง)
-
การอ่านเวลาใกล้ครบชั่วโมง: Eleven forty-five (สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้านาที)
การบอกเวลาแบบนี้ตรงไปตรงมาและใช้ได้กับทุกสถานการณ์ เวลาใดก็ตามเพียงแค่อ่านตัวเลขชั่วโมงตามด้วยนาที
เวลา |
การออกเสียง |
การใช้ในประโยค |
7:15 |
/ˈsevən fɪfˈtiːn/ |
The class begins at seven fifteen (คลาสเรียนเริ่มเวลาเจ็ดโมงสิบห้านาที) |
9:30 |
/naɪn ˈθɜːti/ |
I have lunch at nine thirty (ฉันทานข้าวเที่ยงเวลาเก้าโมงครึ่ง) |
11:45 |
/ɪˈlevən ˈfɔːti faɪv/ |
The flight departs at eleven forty-five (เที่ยวบินออกเวลาสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้านาที) |
2. การบอกเวลาแบบ British English (Past / To)
การบอกเวลาภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิมใช้คำว่า past และ to ในการบอกเวลา วิธีนี้จะใช้หลักการดังนี้: สำหรับนาทีที่ 1-30 ใช้คำว่า past (ผ่าน) และสำหรับนาทีที่ 31-59 ใช้คำว่า to (ถึง) โดยนับถอยหลังจากชั่วโมงถัดไป
การใช้ past และ to มีรูปแบบเฉพาะ:
-
Past สำหรับนาที 1-30: Ten past eight (แปดโมงสิบนาที)
-
To สำหรับนาที 31-59: Twenty to seven (หกโมงสี่สิบนาที - อีกยี่สิบนาทีจะเจ็ดโมง)
-
Past กับเวลาพิเศษ: Quarter past three (สามโมงสิบห้านาที)
-
To กับเวลาพิเศษ: Quarter to eleven (สิบโมงสี่สิบห้านาที - อีกสิบห้านาทีจะสิบเอ็ดโมง)
เวลา |
British Style |
American Style |
การใช้งาน |
8:10 |
Ten past eight |
Eight ten |
The meeting starts at ten past eight (การประชุมเริ่มแปดโมงสิบนาที) |
3:25 |
Twenty-five past three |
Three twenty-five |
She arrives at twenty-five past three (เธอมาถึงสามโมงยี่สิบห้านาที) |
6:40 |
Twenty to seven |
Six forty |
Dinner is ready at twenty to seven (อาหารเย็นพร้อมหกโมงสี่สิบนาที) |
10:50 |
Ten to eleven |
Ten fifty |
The store closes at ten to eleven (ร้านปิดสิบโมงห้าสิบนาที) |

3. คำศัพท์เฉพาะที่ต้องรู้
Time vocabulary พื้นฐานที่จำเป็นต้องเข้าใจและใช้ประจำ คำเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารเรื่องเวลามีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
คำศัพท์ |
การออกเสียง |
ความหมาย |
ตัวอย่างประโยค |
o'clock |
/əˈklɒk/ |
โมงตรง |
It's exactly three o'clock now (ตอนนี้สามโมงตรงพอดี) |
half past |
/hɑːf pɑːst/ |
ครึ่งโมง (30 นาที) |
The appointment is at half past four (นัดหมายเวลาสี่โมงครึ่ง) |
quarter past |
/ˈkwɔːtə pɑːst/ |
หนึ่งในสี่โมง (15 นาที) |
School finishes at quarter past nine (โรงเรียนเลิกเก้าโมงสิบห้านาที) |
quarter to |
/ˈkwɔːtə tuː/ |
อีกสิบห้านาทีจะครบโมง |
I'll call you at quarter to twelve (ฉันจะโทรหาคุณอีกสิบห้านาทีจะเที่ยง) |
sharp |
/ʃɑːp/ |
ตรงเวลา |
The meeting begins at 10 AM sharp (การประชุมเริ่มสิบโมงเช้าตรง) |
approximately |
/əˈprɒksɪmətli/ |
ประมาณ |
He'll arrive at approximately 2 PM (เขาจะมาถึงประมาณสองโมงเย็น) |
4. คำศัพท์บอกช่วงเที่ยงวันและเที่ยงคืน
การแยกแยะช่วงเวลาพิเศษเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการหรือการนัดหมายสำคัญ
ตัวอย่างการใช้งานในประโยค:
-
Noon: We always have our team meeting at noon on Fridays (เราประชุมทีมตอนเที่ยงวันทุกวันศุกร์)
-
Midday: The temperature reaches its peak at midday (อุณหภูมิสูงสุดตอนกลางวัน)
-
Midnight: Cinderella had to leave at midnight (ซินเดอเรลล่าต้องออกไปตอนเที่ยงคืน)
คำศัพท์ |
การออกเสียง |
เวลาที่แม่นยำ |
การใช้ในบริบท |
Noon |
/nuːn/ |
12:00 PM |
We meet at noon (เราจะพบกันตอนเที่ยงวัน) |
Midday |
/ˈmɪddeɪ/ |
12:00 PM |
The sun blazes at midday (แสงแดดจ้าตอนกลางวัน) |
Midnight |
/ˈmɪdnaɪt/ |
12:00 AM |
The party continues until midnight (งานปาร์ตี้ดำเนินต่อถึงเที่ยงคืน) |
Dawn |
/dɔːn/ |
5:00-6:00 AM |
Birds sing at dawn (นกร้องเพลงยามรุ่งอรุณ) |
Dusk |
/dʌsk/ |
6:00-7:00 PM |
The sky turns orange at dusk (ท้องฟ้าเป็นสีส้มยามพลบค่ำ) |
II. บุพบทบอกเวลา (Prepositions of Time): At, On, In ใช้ต่างกันอย่างไร?
1. การใช้ 'At' สำหรับจุดเวลาที่แม่นยำ
บุพบท At ใช้กับเวลาที่เฉพาะเจาะจงและแม่นยำ เช่น เวลาตามนาฬิกา มื้ออาหาร และช่วงเวลาพิเศษ การใช้ At จะทำให้การกำหนดเวลามีความชัดเจนและแม่นยำ
สถานการณ์ที่ใช้ At:
-
เวลาตามนาฬิกา: The conference starts at 9:30 AM precisely (การประชุมเริ่มเวลา 9:30 น. เป็นต้น)
-
มื้ออาหาร: I always have breakfast at seven (ฉันทานข้าวเช้าเวลาเจ็ดโมงเสมอ)
-
ช่วงเวลาพิเศษ: Children open presents at Christmas morning (เด็กๆ แกะของขวัญในเช้าวันคริสต์มาส)
-
เหตุการณ์เฉพาะ: She graduated at the age of twenty-two (เธอจบการศึกษาตอนอายุยี่สิบสองปี)

2. การใช้ 'On' สำหรับวันและวันที่
บุพบท On ใช้กับวันในสัปดาห์ วันที่ และวันหยุดพิเศษ การใช้ On จะช่วยระบุวันที่เฉพาะเจาะจงในการนัดหมายหรือกำหนดการ
การใช้ On อย่างถูกต้อง:
-
วันในสัปดาห์: We have yoga class on Mondays and Wednesdays (เรามีคลาสโยคะวันจันทร์และวันพุธ)
-
วันที่เฉพาะ: My birthday celebration is on December 25th (งานวันเกิดฉันจัดวันที่ 25 ธันวาคม)
-
วันหยุดพิเศษ: They visit grandparents on New Year's Day (พวกเขาไปเยี่ยมปู่ย่าตายายในวันปีใหม่)
-
วันที่มีเหตุการณ์: The accident happened on a rainy Tuesday (อุบัติเหตุเกิดขึ้นในวันอังคารที่ฝนตก)
3. การใช้ 'In' สำหรับช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น
บุพบท In ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวกว่า เช่น เดือน ปี ฤดู และส่วนต่างๆ ของวัน การใช้ In จะช่วยให้เราพูดถึงช่วงเวลาในมิติที่กว้างขึ้น
การใช้ |
ตัวอย่างประโยค |
บริบทการใช้ |
เดือน |
In January, we plan our annual budget (ในเดือนมกราคม เราวางแผนงบประมาณรายปี) |
การวางแผนระยะยาว |
ปี |
In 2024, technology advanced rapidly (ในปี 2024 เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว) |
การอ้างอิงเหตุการณ์ |
ฤดู |
In summer, families enjoy beach vacations (ในช่วงฤดูร้อน ครอบครัวเพลิดเพลินกับการพักผ่อนที่ชายหาด) |
กิจกรรมตามฤดูกาล |
ส่วนของวัน |
In the morning, I feel most energetic (ในตอนเช้า ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าที่สุด) |
การบรรยายกิจวัตร |
ศตวรรษ |
In the 21st century, communication became instant (ในศตวรรษที่ 21 การสื่อสารเป็นแบบทันทีทันใด) |
การอ้างอิงประวัติศาสตร์ |
บทความแนะนำอ่านต่อ:
III. คลังศัพท์เกี่ยวกับช่วงเวลาและลำดับเหตุการณ์
1. คำศัพท์บอกช่วงต่างๆ ของวัน (Parts of the Day)
การแบ่งช่วงเวลาในหนึ่งวันมีความสำคัญต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการบรรยายกิจวัตรประจำวันหรือการวางแผนกิจกรรม
ตัวอย่างการใช้ในชีวิตประจำวัน:
-
Early morning activities: I practice meditation in the early morning (ฉันฝึกสมาธิในตอนเช้าตรู่)
-
Afternoon routines: We conduct important meetings in the afternoon (เราประชุมสำคัญในตอนบ่าย)
-
Evening relaxation: They enjoy walking in the park during the evening (พวกเขาชอบเดินเล่นในสวนสาธารณะตอนเย็น)
-
Night activities: He studies for exams late at night (เขาอ่านหนังสือเตรียมสอบดึกดื่น)
คำศัพท์ |
การออกเสียง |
ช่วงเวลาโดยประมาณ |
ตัวอย่างการใช้ |
Dawn |
/dɔːn/ |
5:00-6:00 AM |
The joggers start their run at dawn (นักวิ่งเริ่มวิ่งยามรุ่งอรุณ) |
Morning |
/ˈmɔːnɪŋ/ |
6:00 AM-12:00 PM |
I feel productive in the morning (ฉันรู้สึกมีประสิทธิภาพในตอนเช้า) |
Noon |
/nuːn/ |
12:00 PM |
The church bells ring at noon (ระฆังโบสถ์ดังตอนเที่ยงวัน) |
Afternoon |
/ˌɑːftəˈnuːn/ |
12:00-6:00 PM |
Students attend extra classes in the afternoon (นักเรียนเรียนพิเศษในตอนบ่าย) |
Evening |
/ˈiːvnɪŋ/ |
6:00-10:00 PM |
Families gather for dinner in the evening (ครอบครัวมารวมตัวทานข้าวเย็น) |
Night |
/naɪt/ |
10:00 PM-5:00 AM |
Security guards patrol the building at night (รปภ.ลาดตระเวนอาคารตอนกลางคืน) |
Midnight |
/ˈmɪdnaɪt/ |
12:00 AM |
The celebration continues until midnight (การฉลองดำเนินต่อถึงเที่ยงคืน) |
2. คำศัพท์บอกอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เวลาในมิติต่างๆ ช่วยให้เราเล่าเรื่องและวางแผนได้อย่างชัดเจน การใช้คำเหล่านี้จะทำให้การบรรยายเหตุการณ์มีความต่อเนื่องและเข้าใจง่าย
การใช้คำบอกเวลาในมิติต่างๆ:
-
อดีตใกล้: Yesterday I completed an important project (เมื่อวานฉันทำโปรเจกต์สำคัญเสร็จ)
-
ปัจจุบัน: Today we explore advanced Time expressions and grammar (วันนี้เราสำรวจการแสดงเวลาและไวยากรณ์ขั้นสูง)
-
อนาคตใกล้: Tomorrow they will travel to Bangkok for business (พรุ่งนี้พวกเขาจะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อธุรกิจ)
-
อดีตไกล: Last month, we visited historical temples (เดือนที่แล้ว เราไปเยี่ยมชมวัดเก่าแก่)
ช่วงเวลา |
คำศัพท์ |
การออกเสียง |
ตัวอย่างประโยค |
อดีตไกล |
Ancient times |
/ˈeɪnʃənt taɪmz/ |
Ancient times hold many mysteries (สมัยโบราณมีความลึกลับมากมาย) |
อดีต |
Previously |
/ˈpriːviəsli/ |
Previously, people communicated through letters (ก่อนหน้านี้ ผู้คนติดต่อสื่อสารผ่านจดหมาย) |
ปัจจุบัน |
Currently |
/ˈkʌrəntli/ |
Currently, we live in a digital era (ปัจจุบัน เราอยู่ในยุคดิจิทัล) |
อนาคตใกล้ |
Soon |
/suːn/ |
Soon, artificial intelligence will transform education (เร็วๆ นี้ ปัญญาประดิษฐ์จะเปลี่ยนแปลงการศึกษา) |
อนาคตไกล |
Eventually |
/ɪˈventʃuəli/ |
Eventually, humans may colonize other planets (ในที่สุด มนุษย์อาจตั้งอาณานิคมบนดาวเคราะห์อื่น) |
3. คำวิเศษณ์บอกลำดับ (Adverbs of Sequence)
การเรียงลำดับเหตุการณ์ทำให้เรื่องราวเป็นระบบและเข้าใจง่าย คำเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเล่าเรื่องและอธิบายขั้นตอนต่างๆ
ตัวอย่างการใช้ในการเล่าเรื่องหนึ่งวัน:
-
First: First, I wake up at 6 AM and stretch my body (อันดับแรก ฉันตื่นนอนเวลา 6 โมงเช้าและยืดเส้นยืดสาย)
-
Then: Then, I take a refreshing shower and get dressed (จากนั้น ฉันอาบน้ำให้สดชื่นและแต่งตัว)
-
Next: Next, I prepare a healthy breakfast with fruits (ต่อมา ฉันเตรียมอาหารเช้าเพื่อสุขภาพพร้อมผลไม้)
-
After that: After that, I commute to work by public transport (หลังจากนั้น ฉันเดินทางไปทำงานโดยขนส่งสาธารณะ)
-
Finally: Finally, I return home at 5 PM feeling accomplished (สุดท้าย ฉันกลับบ้านเวลา 5 โมงเย็นด้วยความรู้สึกสำเร็จ)

IV. การบอกระยะเวลาและความถี่
1. การใช้ 'For' และ 'Since' เพื่อบอกระยะเวลา
ความแตกต่างระหว่าง For และ Since เป็นประเด็นที่หลายคนสับสน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้การใช้ Present Perfect Tense มีความแม่นยำมากขึ้น
หลักการใช้ For และ Since:
-
For บอกระยะเวลา (Duration): I have studied English for three years continuously (ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาสามปีอย่างต่อเนื่อง)
-
Since บอกจุดเริ่มต้น (Starting point): She has lived here since 2020 and loves the neighborhood (เธออาศัยที่นี่ตั้งแต่ปี 2020 และรักย่านนี้)
-
For กับกิจกรรมต่อเนื่อง: They have been married for twenty-five wonderful years (พวกเขาแต่งงานกันมายี่สิบห้าปีที่วิเศษ)
-
Since กับเหตุการณ์เฉพาะ: He has worked remotely since the pandemic started (เขาทำงานจากบ้านตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาด)
คำ |
การใช้ |
ตัวอย่างประโยค |
เคล็ดลับการจำ |
For |
ระยะเวลา (Duration) |
I have practiced piano for two hours daily (ฉันฝึกเปียโนวันละสองชั่วโมง) |
For = ระยะเวลาที่วัดได้ |
Since |
จุดเริ่มต้น (Starting point) |
She has been vegetarian since her college years (เธอกินอาหารเจตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย) |
Since = จุดเวลาที่เริ่มต้น |
2. การใช้ 'During' และ 'While' เพื่อบอกช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์
การใช้ During และ While ช่วยให้เราบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันหรือในช่วงเวลาเดียวกันได้อย่างชัดเจน
ความแตกต่างและการใช้งาน:
-
During + นาม: During the meeting, please maintain professional etiquette (ระหว่างการประชุม กรุณารักษามารยาทที่เป็นมืออาชีพ)
-
While + ประโยค: While I was cooking dinner, the doorbell rang unexpectedly (ขณะที่ฉันกำลังทำอาหารเย็น กริ่งประตูดังอย่างไม่คาดคิด)
-
During สำหรับช่วงเวลา: During summer vacation, students explore new hobbies (ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน นักเรียนสำรวจงานอดิเรกใหม่ๆ)
-
While สำหรับการกระทำพร้อมกัน: While studying abroad, she learned three languages (ขณะเรียนต่อต่างประเทศ เธอเรียนภาษาสามภาษา)
3. คำวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverbs of Frequency)
คำเหล่านี้ช่วยให้เราบอกความถี่ของการกระทำได้อย่างแม่นยำ การใช้คำเหล่านี้จะทำให้การบรรยายกิจวัตรหรือนิสัยมีความชัดเจนมากขึ้น
การจัดลำดับตามความถี่และตัวอย่างการใช้:
-
Always (100%): I always brush my teeth before bedtime religiously (ฉันแปรงฟันก่อนนอนอย่างเคร่งครัดเสมอ)
-
Usually (90%): We usually have family dinner together on Sundays (เรามักทานข้าวเย็นครอบครัววันอาทิตย์)
-
Often (80%): They often go hiking on weekends for exercise (พวกเขาไปเดินป่าในวันหยุดเพื่อออกกำลังกายบ่อยๆ)
-
Sometimes (50%): He sometimes works late to finish important projects (เขาทำงานดึกเพื่อทำโปรเจกต์สำคัญให้เสร็จบางครั้ง)
-
Rarely (20%): She rarely watches television during weekdays (เธอไม่ค่อยดูทีวีในวันธรรมดา)
-
Never (0%): They never arrive early for appointments (พวกเขาไม่เคยมาเร็วสำหรับการนัดหมาย)
V. สำนวนและวลีเกี่ยวกับเวลาที่ใช้บ่อย (Common Idioms and Phrases about Time)
Idiom about time เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารที่ทำให้ภาษาอังกฤษของเราฟังเป็นธรรมชาติมากขึ้น การใช้สำนวนเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารมีสีสันและแสดงความเข้าใจวัฒนธรรมอังกฤษได้ดี
สำนวนเวลาที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน:
-
In the nick of time: He submitted the report in the nick of time before the deadline (เขาส่งรายงานทันเวลาก่อนครบกำหนดพอดี)
-
Once in a blue moon: I eat junk food once in a blue moon for my health (ฉันกินอาหารขยะนานๆ ครั้งเพื่อสุขภาพ)
-
Time flies: Time flies when you're enjoying yourself with friends (เวลาผ่านไปเร็วเมื่อเราสนุกกับเพื่อนๆ)
-
Kill time: I read novels to kill time during long commutes (ฉันอ่านนิยายเพื่อฆ่าเวลาระหว่างเดินทางไกล)
-
Call it a day: Let's call it a day and continue tomorrow morning (เลิกงานแล้วไปต่อพรุ่งนี้เช้ากันเถอะ)
สำนวน |
ความหมาย |
ตัวอย่างการใช้ |
บริบทที่เหมาะสม |
Beat the clock |
แข่งกับเวลา |
Students are beating the clock to finish their exams (นักเรียนกำลังแข่งกับเวลาเพื่อทำข้อสอบให้เสร็จ) |
สถานการณ์เร่งด่วน |
Around the clock |
ตลอด 24 ชั่วโมง |
The hospital provides care around the clock (โรงพยาบาลให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมง) |
การทำงานต่อเนื่อง |
Behind the times |
ล้าสมัย |
My grandfather feels behind the times with new technology (ปู่ฉันรู้สึกล้าสมัยกับเทคโนโลยีใหม่) |
การเปรียบเทียบยุคสมัย |
In no time |
ในเวลาอันรวดเร็ว |
She learned to drive in no time at all (เธอเรียนขับรถได้ในเวลาอันรวดเร็ว) |
การทำสิ่งต่างๆ เร็ว |
Make time |
หาเวลา |
I always make time for exercise despite busy schedule (ฉันหาเวลาออกกำลังกายเสมอแม้จะยุ่ง) |
การจัดการเวลา |
VI. รวมประโยคถาม-ตอบเรื่องเวลาที่ใช้ได้จริง
1. การถามเวลา
การถามเวลามีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระดับความสุภาพและสถานการณ์ที่ใช้ การเลือกใช้คำถามที่เหมาะสมจะแสดงถึงมารยาทและความเข้าใจวัฒนธรรม
รูปแบบการถามเวลาต่างๆ:
-
แบบสุภาพ: Could you please tell me what time it is? (กรุณาบอกเวลาให้หน่อยได้ไหมครับ/ค่ะ)
-
แบบเป็นกันเอง: What time is it right now? (ตอนนี้กี่โมงแล้ว)
-
แบบสั้นกระชับ: Do you have the time? (คุณรู้เวลาไหม)
-
แบบทางการ: May I inquire about the current time? (ขออนุญาตสอบถามเวลาปัจจุบันได้ไหม)
2. การถามเกี่ยวกับตารางเวลาและนัดหมาย
การสอบถามเกี่ยวกับตารางเวลาและการนัดหมายเป็นทักษะสำคัญในการทำงานและชีวิตประจำวัน การใช้คำถามที่เหมาะสมจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ
คำถามที่ใช้บ่อยในการทำงาน:
-
การถามเวลาประชุม: What time does the quarterly meeting start tomorrow? (การประชุมรายไตรมาสพรุ่งนี้เริ่มกี่โมง)
-
การถามระยะเวลา: How long will the presentation approximately take? (การนำเสนอจะใช้เวลาประมาณนานเท่าไหร่)
-
การถามตารางงาน: When is your next available appointment slot? (คุณมีช่วงนัดหมายว่างครั้งต่อไปเมื่อไหร่)
-
การยืนยันเวลา: Could you confirm the meeting time once more? (ช่วยยืนยันเวลาประชุมอีกครั้งได้ไหม)
เมื่อเราเข้าใจหลักการใช้คำศัพท์และไวยากรณ์พื้นฐานเกี่ยวกับเวลาภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้แล้ว ทีนี้เรามาดูคำถามเชิงลึกที่หลายคนสงสัยและมักใช้ผิดบ่อยๆ เพื่อยกระดับความเข้าใจให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้เวลา
VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อควรรู้เพิ่มเติม
1. A.M. และ P.M. คืออะไรและใช้ต่างกันอย่างไร?
A.M. ย่อมาจาก Ante Meridiem (ภาษาละติน) หมายถึงก่อนเที่ยงวัน ใช้กับเวลา 00:01-11:59 ส่วน P.M. ย่อมาจาก Post Meridiem หมายถึงหลังเที่ยงวัน ใช้กับเวลา 12:01-23:59 ข้อสังเกตสำคัญคือ 12:00 P.M. คือเที่ยงวัน และ 12:00 A.M. คือเที่ยงคืน
การใช้ A.M. และ P.M. ในสถานการณ์ต่างๆ:
-
การนัดหมายธุรกิจ: The board meeting is scheduled for 9:30 A.M. sharp (การประชุมคณะกรรมการกำหนดไว้เวลา 9:30 น. ตรง)
-
การบอกเวลาทำงาน: Our office hours are from 8:00 A.M. to 5:00 P.M. (เวลาทำการของเราตั้งแต่ 8:00 น. ถึง 17:00 น.)
-
กิจกรรมเย็น: The concert begins at 7:30 P.M. tonight (คอนเสิร์ตเริ่ม 19:30 น. คืนนี้)
2. เราจำเป็นต้องใช้บุพบทบอกเวลากับคำว่า yesterday, today, tomorrow หรือไม่?
ไม่จำเป็น คำเหล่านี้เป็น adverb of time ที่ไม่ต้องใช้บุพบท การใช้บุพบทกับคำเหล่านี้ถือเป็นข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์
ตัวอย่างการใช้ที่ถูกต้อง:
-
ถูกต้อง: I saw him yesterday at the shopping mall (ฉันเจอเขาเมื่อวานที่ห้างสรรพสินค้า)
-
ผิด: I saw him on yesterday
-
ถูกต้อง: We have an important meeting today (เรามีการประชุมสำคัญวันนี้)
-
ผิด: We have an important meeting on today
3. ความแตกต่างระหว่าง 'in time' และ 'on time' คืออะไร?
In time หมายถึงทันเวลา มีเวลาเหลือพอที่จะทำสิ่งที่ต้องการ ส่วน On time หมายถึงตรงเวลาที่กำหนดไว้พอดี ไม่เร็วไม่ช้า
การแยกแยะและใช้งาน:
-
In time (ทันเวลา): We arrived in time for the movie premiere (เรามาถึงทันเวลาการเปิดตัวหนัง)
-
On time (ตรงเวลา): The flight departed on time as scheduled (เที่ยวบินออกตรงเวลาตามที่กำหนด)
-
In time สำหรับเหตุการณ์: She finished her assignment in time for submission (เธอทำงานเสร็จทันเวลาส่ง)
-
On time สำหรับการนัดหมาย: He always arrives on time for appointments (เขามาถึงตรงเวลานัดเสมอ)
บทความแนะนำอ่านต่อ:
4. คำบอกเวลาแบบไหนที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษแบบ British และ American?
British English มักใช้ระบบ past/to และ 24-hour format เช่น half past seven, quarter to nine ส่วน American English นิยมใช้ digital style และ 12-hour format พร้อม A.M./P.M. เช่น seven thirty, eight forty-five
ลักษณะ |
British English |
American English |
ตัวอย่าง |
การบอกเวลา |
Past/To system |
Digital style |
2:15 = Quarter past two (BE) / Two fifteen (AE) |
รูปแบบเวลา |
24-hour format |
12-hour format |
14:30 (BE) / 2:30 PM (AE) |
การใช้คำ |
Half past, quarter |
Thirty, fifteen |
6:30 = Half past six (BE) / Six thirty (AE) |
วันที่ |
Day/Month/Year |
Month/Day/Year |
25/12/2024 (BE) / 12/25/2024 (AE) |
การเรียนรู้เวลาภาษาอังกฤษอย่างครบถ้วนจะช่วยให้คุณสื่อสารได้อย่างมั่นใจและแม่นยำในทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐานอย่างการบอกเวลาภาษาอังกฤษ บุพบทเวลา ไปจนถึงสำนวนและการแสดงออกที่ซับซ้อนขึ้น
ความเข้าใจที่ถูกต้องเหล่านี้จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้น เมื่อคุณสามารถใช้Time vocabularyได้อย่างเป็นธรรมชาติ การสื่อสารในชีวิตประจำวันและการทำงานจะราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การฝึกฝนการใช้Idiom about timeอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ภาษาอังกฤษของคุณฟังเป็นธรรมชาติและน่าประทับใจมากขึ้น

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมุก ปัจจุบันดูแลด้านเนื้อหาผลิตภัณฑ์ของ Prep Education ค่ะ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในการเรียน IELTS ออนไลน์ด้วยตนเอง ฉันเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ผู้เรียนต้องเผชิญ แล้วก็รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์ก
มุกอยากเอาประสบการณ์ตรงนี้มาช่วยแชร์ แล้วก็ซัพพอร์ตเพื่อน ๆ ให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดค่ะ
ความคิดเห็น
เนื้อหาแบบพรีเมียม
ดูทั้งหมดค้นหาบทความการศึกษา
แผนการเรียนรู้ส่วนบุคคล
อ่านมากที่สุด
ลงทะเบียนเพื่อรับคำปรึกษาแผนการเรียน
กรุณาแจ้งข้อมูลของคุณ Prep จะติดต่อเพื่อให้คำปรึกษาให้คุณทันที!

ติดต่อ Prep ผ่านโซเชียล
