ไขทุกข้อสงสัย Direct Indirect Speech หลักการเล่าคำพูด

Direct indirect speech เป็นโครงสร้างไวยากรณ์ที่สำคัญในการถ่ายทอดคำพูดของผู้อื่น การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง direct speech indirect speech และการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารของคุณแม่นยำและเป็นธรรมชาติ

Direct and indirect speech มีกฎการเปลี่ยนแปลงหลักสำคัญที่ต้องจำ ได้แก่ การเปลี่ยน tense (backshift) การเปลี่ยนสรรพนาม และการเปลี่ยนคำบอกเวลาและสถานที่ Direct indirect ยังมีรูปแบบที่แตกต่างกันสำหรับประโยคบอกเล่า คำถาม คำสั่ง และคำขอร้อง แต่ละประเภทมีโครงสร้างเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม

การฝึกฝนการเปลี่ยน ประโยค direct indirect speech อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเชี่ยวชาญและสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องในการเขียนและการพูด โดยเฉพาะในการสอบ IELTS ที่ต้องการความแม่นยำทางไวยากรณ์และความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจ indirect speech และการใช้งานอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มคะแนน Grammatical Range and Accuracy ของคุณอย่างมีนัยสำคัญ

มาเริ่มต้นเจาะลึกโลกของ direct speech indirect speech กันเลย เพื่อให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่าคำพูดภาษาอังกฤษ

  1. I. Direct Indirect Speech คืออะไร?
    1. 1. Direct Speech (คำพูดตรง)
    2. 2. Indirect Speech (คำพูดอ้อม)
  2. II. ความแตกต่างระหว่าง Direct Speech and Indirect Speech
  3. II. 5 กฎเหล็กเปลี่ยน Direct เป็น Indirect Speech
    1. 1. การเปลี่ยน Tense
    2. 2. การเปลี่ยนสรรพนาม (Pronouns) ให้สอดคล้องกับผู้พูดและผู้ฟัง
    3. 3. การเปลี่ยนคำบอกเวลาและสถานที่
    4. 4. การเลือกใช้ Reporting Verbs (say, tell, ask)
    5. 5. การตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks) และการใช้ 'that'
  4. III. วิธีเปลี่ยนประโยคแต่ละประเภท
    1. 1. การเปลี่ยนประโยคบอกเล่า
    2. 2. การเปลี่ยนประโยคคำถาม
    3. 3. การเปลี่ยนประโยคคำสั่ง ขอร้อง และแนะนำ
  5. IV. การเปลี่ยนสรรพนาม (Pronouns)
  6. V. การเปลี่ยนคำบอกเวลาและสถานที่
    1. ตารางการเปลี่ยนคำบอกเวลา
  7. VI. คำถามที่พบบ่อย (FAQs) และข้อควรรู้เพิ่มเติม
    1. 1. "Reported Speech" คือคำเดียวกับ "Indirect Speech" หรือไม่?
    2. 2. Reporting Verbs มีกลุ่มไหนบ้างนอกเหนือจาก "say" และ "tell" เพื่อให้การเล่าเรื่องน่าสนใจขึ้น?
    3. 3. การใช้ "that" ใน Indirect Speech จำเป็นเสมอไปหรือไม่ และการละไว้ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างไร?
    4. 4. ถ้าใน Direct Speech มีหลายประโยค เราต้องเปลี่ยนทุกประโยคเลยใช่ไหม?
Direct Indirect Speech คืออะไร? สรุปความต่างพร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย
สรุป Direct Indirect Speech คืออะไร พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย

I. Direct Indirect Speech คืออะไร?

1. Direct Speech (คำพูดตรง)

Direct speech คือการนำคำพูดของผู้อื่นมาเขียนตรงๆ โดยใช้เครื่องหมายคำพูด (" ")

โครงสร้าง: Subject + said/told + "คำพูดเดิม"

ตัวอย่าง:

  • She said, "I am happy." (เธอพูดว่า "ฉันมีความสุข")

  • John told me, "I will come tomorrow." (จอห์นบอกฉันว่า "ฉันจะมาพรุ่งนี้")

2. Indirect Speech (คำพูดอ้อม)

Indirect speech คือการถ่ายทอดคำพูดของผู้อื่นโดยไม่ใช้เครื่องหมายคำพูด และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประโยค

โครงสร้าง: Subject + said/told + that + คำพูดที่ปรับเปลี่ยนแล้ว

ตัวอย่าง:

  • She said (that) she was happy. (เธอพูดว่าเธอมีความสุข)

  • John told me (that) he would come the next day. (จอห์นบอกฉันว่าเขาจะมาวันถัดไป)

II. ความแตกต่างระหว่าง Direct Speech and Indirect Speech

ลักษณะ

Direct Speech

Indirect Speech

เครื่องหมายคำพูด

มี (" ")

ไม่มี

คำเชื่อม

ไม่มี that

มี that (ตัดได้)

Tense

ใช้ tense เดิม

เปลี่ยน tense (backshift)

สรรพนาม

ตามผู้พูดเดิม

เปลี่ยนตามบริบท

คำบอกเวลา/สถานที่

ใช้คำเดิม

เปลี่ยนตามบริบท

ตัวอย่างเปรียบเทียบ:

Direct: He said, "I am working now." Indirect: He said (that) he was working then.

 

II. 5 กฎเหล็กเปลี่ยน Direct เป็น Indirect Speech

1. การเปลี่ยน Tense

การเปลี่ยน Tense เป็นหัวใจหลักของ direct speech indirect speech โดยจะต้องเลื่อน Tense ไปข้างหลังหนึ่งระดับเมื่อ Reporting Verb อยู่ในรูป Past Tense

  • จาก Present Tenses สู่ Past Tenses: Present Simple เปลี่ยนเป็น Past Simple และ Present Continuous เปลี่ยนเป็น Past Continuous ตามหลักการที่กำหนดไว้

Direct Speech

Indirect Speech

ความหมาย

I work here.

He said he worked there.

เขาพูดว่าเขาทำงานที่นั่น

She is studying.

He said she was studying.

เขาพูดว่าเธอกำลังเรียน

They have finished.

He said they had finished.

เขาพูดว่าพวกเขาทำเสร็จแล้ว

  • จาก Past Simple & Present Perfect สู่ Past Perfect: Past Simple และ Present Perfect จะเปลี่ยนเป็น Past Perfect เพื่อแสดงความหมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการเล่า

  • จาก Future (will/shall) สู่ would/should: Future Tense จะเปลี่ยนจาก will เป็น would และจาก shall เป็น should ตามหลักการสืบเนื่อง

  • การเปลี่ยนแปลงของ Modal Verbs อื่นๆ (can, may, must)

Modal Verb

เปลี่ยนเป็น

ตัวอย่าง

can

could

I can swim → He said he could swim

may

might

You may go → She said I might go

must

had to

We must leave → They said they had to leave

will

would

I will come → He said he would come

shall

should

We shall meet → They said they should meet

2. การเปลี่ยนสรรพนาม (Pronouns) ให้สอดคล้องกับผู้พูดและผู้ฟัง

สรรพนามจะต้องเปลี่ยนตามมุมมองของผู้เล่า การเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยคและความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง และผู้เล่า

หลักการสำคัญ:

  • I เปลี่ยนเป็น he/she (ขึ้นอยู่กับเพศของผู้พูดต้นฉบับ)

  • you เปลี่ยนเป็น I/they (ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ฟัง)

  • we เปลี่ยนเป็น they (เมื่อผู้เล่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น)

Direct Indirect Speech คืออะไร? สรุปความต่างพร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย
การเปลี่ยนสรรพนาม (Pronouns) ให้สอดคล้องกับผู้พูดและผู้ฟัง

3. การเปลี่ยนคำบอกเวลาและสถานที่

คำบอกเวลาและสถานที่จะเปลี่ยนตามมุมมองของผู้เล่า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างเวลาที่พูดกับเวลาที่เล่า

Direct Speech

Indirect Speech

ความหมาย

now

then

ตอนนั้น

today

that day

วันนั้น

tomorrow

the next day

วันถัดไป

yesterday

the day before

วันก่อนหน้า

here

there

ที่นั่น

this

that

นั้น

these

those

เหล่านั้น

4. การเลือกใช้ Reporting Verbs (say, tell, ask)

การเลือกใช้ Reporting Verbs ให้เหมาะสมกับประเภทของประโยคเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง แต่ละคำมีการใช้งานที่แตกต่างกัน

กฎการใช้:

  • say ใช้ทั่วไป ไม่ต้องมีกรรม

  • tell ต้องมีกรรมตามหลัง

  • ask ใช้กับคำถามและการขอร้อง

Direct Indirect Speech คืออะไร? สรุปความต่างพร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย
การเลือกใช้ Reporting Verbs (say, tell, ask)

5. การตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks) และการใช้ 'that'

เครื่องหมายอัญประกาศจะถูกตัดออก และมีการเติม that เข้าไประหว่าง Reporting Verb กับเนื้อหาคำพูด อย่างไรก็ตาม that สามารถละได้ในการพูดธรรมดา

III. วิธีเปลี่ยนประโยคแต่ละประเภท

1. การเปลี่ยนประโยคบอกเล่า

ประโยค direct indirect speech แบบบอกเล่าเป็นรูปแบบพื้นฐานที่ใช้บ่อยที่สุด มีการใช้ that ในการเชื่อมต่อประโยค แต่สามารถละได้ในบางกรณี

ตัวอย่าง:

  • Direct: Tom said, I like pizza. (ทอมพูดว่า "ฉันชอบพิซซ่า")

  • Indirect: Tom said that he liked pizza. (ทอมพูดว่าเขาชอบพิซซ่า)

2. การเปลี่ยนประโยคคำถาม

คำถาม Yes/No Questions (ใช้ if / whether)

คำถามที่ตอบได้ด้วย Yes หรือ No จะใช้ if หรือ whether ในการเชื่อมต่อ และเปลี่ยนโครงสร้างประโยคให้เป็นแบบบอกเล่า

ตัวอย่าง:

  • Direct: She asked, Do you like coffee? (เธอถามว่า "คุณชอบกาแฟไหม?")

  • Indirect: She asked if I liked coffee. (เธอถามว่าฉันชอบกาแฟไหม)

คำถาม Wh-Questions (ใช้ Wh-word เดิม)

คำถามที่เริ่มด้วย Wh-words จะคงคำถามเดิมไว้ แต่เปลี่ยนรูปประโยคให้เป็นบอกเล่า โดยไม่ต้องใช้ if หรือ whether

ตัวอย่าง:

  • Direct: He asked, Where do you live? (เขาถามว่า "คุณอยู่ที่ไหน?")

  • Indirect: He asked where I lived. (เขาถามว่าฉันอยู่ที่ไหน)

3. การเปลี่ยนประโยคคำสั่ง ขอร้อง และแนะนำ

ประโยคคำสั่งจะใช้ to infinitive ในการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech พร้อมกับ Reporting Verbs ที่เหมาะสม

Vocabulary

IPA

Meaning

Example

command

/kəˈmɑːnd/

คำสั่ง

The teacher told the students to be quiet. 

(ครูสั่งให้นักเรียนเงียบ)

request

/rɪˈkwest/

การขอร้อง

She asked me to help her. 

(เธอขอให้ฉันช่วยเธอ)

suggestion

/səˈdʒestʃən/

คำแนะนำ

He suggested going to the movies. 

(เขาแนะนำให้ไปดูหนัง)

รูปแบบการเปลี่ยน:

  • คำสั่ง: told + กรรม + to infinitive

  • การขอร้อง: asked + กรรม + to infinitive

  • คำแนะนำ: suggested + -ing form

IV. การเปลี่ยนสรรพนาม (Pronouns)

กฎการเปลี่ยนสรรพนาม

Direct Speech

Indirect Speech

I

he/she (ตามผู้พูด)

we

they

you

I/we (ตามผู้ฟัง)

my

his/her

our

their

your

my/our

ตัวอย่าง:

  • Direct: She said, "I love my cat."

  • Indirect: She said (that) she loved her cat.

V. การเปลี่ยนคำบอกเวลาและสถานที่

ตารางการเปลี่ยนคำบอกเวลา

Direct Speech

Indirect Speech

now

then/at that time

today

that day

tonight

that night

yesterday

the day before/the previous day

tomorrow

the next day/the following day

last week

the week before/the previous week

next week

the following week/the week after

ago

before

this

that

these

those

here

there

ตัวอย่าง:

  • Direct: He said, "I will come here tomorrow."

Indirect: He said (that) he would come there the next day.

บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม:

การเรียงลำดับคำในภาษาอังกฤษ (Word Order)

20+ โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษจากพื้นฐานสู่ขั้นสูง

Inversion สรุปการใช้ พร้อมตัวอย่าง

VI. คำถามที่พบบ่อย (FAQs) และข้อควรรู้เพิ่มเติม

1. "Reported Speech" คือคำเดียวกับ "Indirect Speech" หรือไม่?

Reported Speech และ Indirect Speech หรือ เป็นคำเดียวกันที่ใช้แทนกันได้ ทั้งสองคำหมายถึงการเล่าคำพูดของบุคคลอื่นโดยไม่ใช้เครื่องหมายอัญประกาศ ในวงการศึกษาภาษาอังกฤษ ทั้งสองคำนี้มีความหมายเหมือนกันและสามารถใช้แทนกันได้

2. Reporting Verbs มีกลุ่มไหนบ้างนอกเหนือจาก "say" และ "tell" เพื่อให้การเล่าเรื่องน่าสนใจขึ้น?

Reporting Verbs ที่หลากหลายช่วยให้การเขียนมีความน่าสนใจมากขึ้น การเลือกใช้คำที่เหมาะสมจะทำให้ความหมายชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น

กลุ่มต่างๆ ได้แก่:

  • กลุ่มการแสดงความคิดเห็น: argue, claim, suggest, recommend, insist

  • กลุ่มการถาม: inquire, wonder, question, demand

  • กลุ่มการแสดงอารมณ์: complain, exclaim, whisper, shout, cry

  • กลุ่มการให้ข้อมูล: explain, announce, declare, mention, reveal

3. การใช้ "that" ใน Indirect Speech จำเป็นเสมอไปหรือไม่ และการละไว้ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างไร?

การใช้ that ใน Direct and Indirect Speech พร้อม เฉลย ไม่จำเป็นต้องใช้เสมอไป การตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ขึ้นอยู่กับบริบทและความเป็นทางการของการสื่อสาร

ความแตกต่าง:

  • มี that: ดูเป็นทางการมากกว่า เหมาะสำหรับการเขียน

  • ไม่มี that: ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า เหมาะสำหรับการพูด

4. ถ้าใน Direct Speech มีหลายประโยค เราต้องเปลี่ยนทุกประโยคเลยใช่ไหม?

Direct กับ Indirect ต่าง กัน ยัง ไง ในกรณีที่มีหลายประโยค จะต้องพิจารณาแต่ละประโยคแยกกัน ทุกประโยคต้องปฏิบัติตามกฎการเปลี่ยน Tense, สรรพนาม, และคำบอกเวลาสถานที่ เพื่อให้ความหมายถูกต้องและสอดคล้องกัน

หลักการสำคัญ:

  • แต่ละประโยคต้องเปลี่ยนตามกฎที่กำหนด

  • ต้องรักษาความต่อเนื่องของเรื่องราว

  • ควรใช้ Reporting Verbs ที่หลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำ

การเรียนรู้ direct indirect speech เป็นเสาหลักสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณ ความเข้าใจที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและการนำไปใช้ในสถานการณ์จริง หลักการทั้ง 5 ข้อที่ได้กล่าวมาจะเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการสร้างความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษระดับสูง การฝึกฝนที่สม่ำเสมอจะนำไปสู่ความเชี่ยวชาญที่แท้จริง

พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณไปอีกขั้นกับ PREP English การเรียนรู้ direct indirect เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ครอบคลุม PREP มีหลักสูตร เรียน IELTS ออนไลน์ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ IELTS ด้วยระบบการเรียนการสอนที่ทันสมัย เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะไวยากรณ์ รวมถึง direct speech and indirect speech ที่เป็นส่วนสำคัญในการสอบ Writing และ Speaking นักเรียนจะได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและระบบ AI ที่ช่วยปรับปรุงการออกเสียงและโครงสร้างประโยค การเรียนกับ PREP จะทำให้คุณมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษในทุกสถานการณ์และสามารถบรรลุเป้าหมายคะแนน IELTS ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Mook
Product Content Admin

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมุก ปัจจุบันดูแลด้านเนื้อหาผลิตภัณฑ์ของ Prep Education ค่ะ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในการเรียน IELTS ออนไลน์ด้วยตนเอง ฉันเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ผู้เรียนต้องเผชิญ แล้วก็รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์ก
มุกอยากเอาประสบการณ์ตรงนี้มาช่วยแชร์ แล้วก็ซัพพอร์ตเพื่อน ๆ ให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดค่ะ

ความคิดเห็นความคิดเห็น

0/300 ตัวอักษร
Loading...

บทความที่เกี่ยวข้องบทความที่เกี่ยวข้อง

Prep Technology Co., LTD.

Address: ตึก C.P. Tower 2 (ฟอร์จูนทาวน์) ชั้น 21 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
Hotline: +6624606789
Email: sawatdee@prepedu.com

ได้รับการรับรองโดย
DMCA protect