ค้นหาบทความการศึกษา

วิธีคำนวณคะแนน IELTS ให้เข้าใจง่าย พร้อมการตีความคะแนนแต่ละส่วน

การทำคะแนน IELTS ที่คุณต้องการอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยากและซับซ้อน แต่หากคุณเข้าใจระบบการให้คะแนนอย่างถ่องแท้ การวางแผนเตรียมตัวสอบจะกลายเป็นเรื่องง่ายและมีทิศทางชัดเจน ความรู้เรื่องการคำนวณคะแนนคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีคำนวณคะแนน IELTS เป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้สอบทุกคนต้องเข้าใจ ระบบคะแนน IELTS มีหลักการเฉพาะที่แตกต่างจากการสอบอื่นๆ ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนการเรียนและการตั้งเป้าหมายอย่างมาก

ระบบการประเมินไอ เอ ล คะแนนประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน ตั้งแต่การแปลงคะแนนดิบ (Raw Score) เป็น Band Score การปัดเศษแบบพิเศษที่ใช้เฉพาะ IELTS และเกณฑ์การประเมินที่แตกต่างกันในแต่ละทักษะ การเข้าใจ IELTS คะแนนในลึกจะช่วยให้คุณรู้ว่าส่วนไหนควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในเวลาที่จำกัด

สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่า IELTS เต็ม เท่า ไหร่หรือคะแนน IELTS เต็ม เท่า ไหร่ คำตอบคือระบบ Band Score 0-9 ที่มีความซับซ้อนในการคำนวณ การรู้จัก band IELTS แต่ละระดับและความหมายจะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเพื่อเรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐาน

ความเข้าใจเรื่อง IELTS ระดับต่างๆ และการตีความผล สอบ IELTS อย่างถูกต้อง จะทำให้คุณสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนได้แม่นยำ วางแผนการฝึกฝนที่เหมาะสม และเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนที่ต้องการ

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกขั้นตอนการคำนวณคะแนน ตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการวิเคราะห์ผลสอบ รวมถึงวิธีการเช็ค คะแนน IELTS และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ มาเริ่มต้นการเรียนรู้เพื่อพิชิตเป้าหมาย IELTS ของคุณกันเลย

 

วิธีคำนวณคะแนน IELTS แบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่าง
วิธีคำนวณคะแนน IELTS แบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่าง
  1. I. รู้จักกับระบบคะแนน IELTS Band Score
    1. 1. ภาพรวมของ Band Score
    2. 2. Half Bands (คะแนนครึ่งระดับ) คืออะไร?
  2. II. วิธีคำนวณคะแนน Overall Band Score: สูตรและหลักการปัดเศษที่ต้องรู้
    1. 1. สูตรการหาค่าเฉลี่ยคะแนนทั้ง 4 ทักษะ
    2. 2. กฎการปัดเศษคะแนน (Rounding Rules) อย่างละเอียด (.25, .5, .75)
  3. III. เจาะลึกวิธีคำนวณคะแนนแต่ละพาร์ท
    1. 1. พาร์ทการฟัง (Listening): เปลี่ยนคะแนนดิบ (Raw Score) สู่ Band Score
    2. 2. พาร์ทการอ่าน (Reading): ความแตกต่างระหว่าง Academic และ General Training
    3. 3. พาร์ทการเขียน (Writing): เกณฑ์การประเมิน 4 ข้อ (Marking Criteria) ที่ใช้ตัดสินคะแนน
    4. 4. พาร์ทการพูด (Speaking): องค์ประกอบ 4 ด้านที่ผู้คุมสอบใช้ประเมิน
  4. IV. การตีความหมายคะแนน IELTS ในแต่ละระดับ 
  5. V. คะแนน IELTS ควรได้เท่าไหร่? 
    1. 1. สำหรับการยื่นเรียนต่อระดับปริญญาตรี-โท-เอก
    2. 2. สำหรับการย้ายถิ่นฐาน (Immigration) ไปยังประเทศต่างๆ
    3. 3. สำหรับการสมัครงานในองค์กรนานาชาติ
  6. VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม (FAQs & Advanced Insights)
    1. 1. Band Score กับ Raw Score คืออะไรและต่างกันอย่างไร?
    2. 2. คะแนน IELTS มีวันหมดอายุหรือไม่?
    3. 3. เกณฑ์การให้คะแนนส่วน Writing และ Speaking มีปัจจัยอะไรบ้างที่เหมือนหรือต่างกัน?
    4. 4. ระหว่าง IELTS Academic และ General Training การให้คะแนนพาร์ท Reading แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด?

I. รู้จักกับระบบคะแนน IELTS Band Score

1. ภาพรวมของ Band Score

IELTS คะแนนเต็มใช้ระบบ Band Score ที่มีสเกลตั้งแต่ 0 ถึง 9 โดยแต่ละระดับสะท้อนความสามารถทางภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน ระบบนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อประเมินทักษะการสื่อสารจริงในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการศึกษาและการทำงาน Band Score ทำให้สถาบันการศึกษาและนายจ้างสามารถประเมินความสามารถทางภาษาของผู้สมัครได้อย่างแม่นยำ

Band Score

ระดับความสามารถ

คำอธิบายสั้น

9

Expert User

ใช้ภาษาได้คล่องแคล่วและแม่นยำ

8

Very Good User

ควบคุมภาษาได้ดี มีข้อผิดพลาดเล็กน้อย

7

Good User

ใช้ภาษาได้ดี เข้าใจความซับซ้อน

6

Competent User

ใช้ภาษาได้มีประสิทธิภาพ

5

Modest User

ใช้ภาษาได้บางส่วน

4

Limited User

ความสามารถจำกัดในสถานการณ์คุ้นเคย

2. Half Bands (คะแนนครึ่งระดับ) คืออะไร?

การให้คะแนน ไอ เอ ลสามารถเป็นครึ่งระดับได้ เช่น 6.5 หรือ 7.5 ซึ่งช่วยให้การประเมินมีความละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ระบบครึ่งระดับนี้ทำให้ผู้เรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจนและช่วยให้สถาบันการศึกษาหรือองค์กรต่างๆ สามารถกำหนดข้อกำหนดได้อย่างเหมาะสม

คุณลักษณะสำคัญของระบบครึ่งระดับ:

  • ความแม่นยำเพิ่มขึ้น: ช่วยประเมินความสามารถได้ละเอียดกว่าคะแนนเต็มระดับ

  • การเห็นความก้าวหน้า: ผู้เรียนสามารถติดตามการพัฒนาได้อย่างชัดเจน

  • ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: สถาบันต่างๆ สามารถกำหนดข้อกำหนดได้เหมาะสม

  • การสะท้อนความสามารถจริง: แสดงความสามารถที่อยู่ระหว่างสองระดับได้อย่างแม่นยำ

II. วิธีคำนวณคะแนน Overall Band Score: สูตรและหลักการปัดเศษที่ต้องรู้

1. สูตรการหาค่าเฉลี่ยคะแนนทั้ง 4 ทักษะ

วิธีคำนวณคะแนน IELTS โดยรวมใช้การหาค่าเฉลี่ยจากคะแนนทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ Listening Reading Writing และ Speaking การคำนวณนี้ทำให้ได้คะแนนที่สะท้อนความสามารถโดยรวมของผู้สอบอย่างยุติธรรม โดยแต่ละทักษะมีน้ำหนักเท่ากันในการประเมิน

สูตรการคำนวณ: Overall Band Score = (Listening + Reading + Writing + Speaking) ÷ 4

ขั้นตอนการคำนวณที่ต้องทำ:

  • รวมคะแนนทั้ง 4 ส่วน: นำคะแนน Listening + Reading + Writing + Speaking

  • หารด้วย 4: เพื่อหาค่าเฉลี่ยของคะแนนทั้ง 4 ทักษะ

  • ปัดเศษตามกฎที่กำหนด: ใช้หลักการปัดเศษพิเศษของ IELTS

  • ได้คะแนนสุดท้าย: คะแนนรวมที่จะปรากฏใน TRF

ตัวอย่างการคำนวณ: หากคุณได้คะแนน Listening 7.0, Reading 6.5, Writing 6.0, Speaking 6.5 คะแนนรวมจะเป็น (7.0 + 6.5 + 6.0 + 6.5) ÷ 4 = 6.5

วิธีคำนวณคะแนน IELTS ที่คุณต้องรู้!
สูตรการหาค่าเฉลี่ยคะแนนทั้ง 4 ทักษะ

2. กฎการปัดเศษคะแนน (Rounding Rules) อย่างละเอียด (.25, .5, .75)

การปัดเศษไอ เอ ล คะแนนมีกฎเฉพาะที่แตกต่างจากการปัดเศษทั่วไป ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้ได้คะแนนที่แม่นยำและยุติธรรมที่สุด

ค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้

คะแนนสุดท้ายหลังปัดเศษ

หลักการปัดเศษ

6.125

6.0

ปัดลงไป (0.25 → 0.0)

6.25

6.5

ปัดขึ้นไป (0.25 → 0.5)

6.375

6.5

ปัดลงไป (0.75 → 0.5)

6.5

6.5

คงเดิม

6.625

6.5

ปัดลงไป (0.75 → 0.5)

6.75

7.0

ปัดขึ้นไป (0.75 → 1.0)

6.875

7.0

ปัดขึ้นไป (0.75 → 1.0)

หลักการปัดเศษที่ต้องจำ:

  • ตำแหน่งทศนิยม 0.25: ปัดเป็น 0.5 (ปัดขึ้น)

  • ตำแหน่งทศนิยม 0.75: ปัดเป็นจำนวนเต็มถัดไป (ปัดขึ้น)

  • ตำแหน่งทศนิยม 0.5: คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

  • ตำแหน่งทศนิยมอื่นๆ: ปัดไปยังค่า 0.5 หรือจำนวนเต็มที่ใกล้ที่สุด

III. เจาะลึกวิธีคำนวณคะแนนแต่ละพาร์ท

1. พาร์ทการฟัง (Listening): เปลี่ยนคะแนนดิบ (Raw Score) สู่ Band Score

การประเมินส่วน Listening ใช้ระบบแปลงคะแนนดิบ (จำนวนข้อที่ทำถูก) เป็น Band Score โดยตรง ข้อสอบ Listening มีทั้งหมด 40 ข้อ และแต่ละข้อมีน้ำหนักเท่ากัน การแปลงคะแนนจะใช้ตารางมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน

ตารางแปลงคะแนน Listening (40 ข้อ สู่ Band 1-9)

การแปลงคะแนน สอบ IELTS ส่วน Listening จะใช้ตารางมาตรฐานที่กำหนดไว้:

จำนวนข้อที่ทำถูก

Band Score

เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำ

39-40

9.0

97.5-100%

37-38

8.5

92.5-95%

35-36

8.0

87.5-90%

32-34

7.5

80-85%

30-31

7.0

75-77.5%

26-29

6.5

65-72.5%

23-25

6.0

57.5-62.5%

18-22

5.5

45-55%

16-17

5.0

40-42.5%

13-15

4.5

32.5-37.5%

วิธีคำนวณคะแนน IELTS ที่คุณต้องรู้!
ตารางแปลงคะแนน Listening (40 ข้อ สู่ Band 1-9)

2. พาร์ทการอ่าน (Reading): ความแตกต่างระหว่าง Academic และ General Training

ตารางแปลงคะแนน Reading Academic

คะแนน IELTS เต็ม เท่า ไหร่สำหรับ Reading Academic จะใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดกว่า General Training เนื่องจากเนื้อหามีความซับซ้อนมากกว่า

จำนวนข้อถูก

Band Score Academic

Band Score General

ความแตกต่าง

39-40

9.0

9.0

เท่ากัน

37-38

8.5

8.5

เท่ากัน

35-36

8.0

8.0

เท่ากัน

33-34

7.5

7.5

เท่ากัน

30-32

7.0

7.0

เท่ากัน

27-29

6.5

6.5

เท่ากัน

23-26

6.0

6.0-6.5

GT ง่ายกว่า

19-22

5.5

5.5-6.0

GT ง่ายกว่า

15-18

5.0

5.0-5.5

GT ง่ายกว่า

ตารางแปลงคะแนน Reading General Training

General Training มีลักษณะเฉพาะในการให้คะแนนที่แตกต่างจาก Academic โดยเฉพาะในระดับคะแนนกลาง เนื่องจากเนื้อหาเน้นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันมากกว่าเนื้อหาวิชาการ

ความแตกต่างหลักระหว่าง Academic และ General Training:

  • คะแนนระดับสูง (Band 7-9): ใช้เกณฑ์เดียวกัน เนื่องจากต้องการความแม่นยำสูง

  • คะแนนระดับกลาง (Band 5-6): General Training มีความยืดหยุ่นมากกว่าเล็กน้อย

  • เนื้อหาที่แตกต่าง: Academic เน้นเนื้อหาวิชาการ ส่วน General Training เน้นสถานการณ์จริง

  • ระดับความยาก: Academic มีเนื้อหาที่ซับซ้อนกว่า จึงมีเกณฑ์การให้คะแนนที่เข้มงวดกว่า

3. พาร์ทการเขียน (Writing): เกณฑ์การประเมิน 4 ข้อ (Marking Criteria) ที่ใช้ตัดสินคะแนน

การประเมิน IELTS เต็ม เท่า ไหร่ในส่วน Writing ใช้เกณฑ์ 4 ด้านหลัก โดยแต่ละด้านมีน้ำหนักเท่ากัน 25% ของคะแนนรวม การให้คะแนนจะพิจารณาจากความสมดุลของทั้ง 4 เกณฑ์

Task Achievement (Task 2) / Task Response (Task 1)

เกณฑ์นี้วัดความสามารถในการตอบสนองต่อโจทย์และพัฒนาเนื้อหาให้ครบถ้วนตามที่กำหนด:

  • Task 1: การนำเสนอข้อมูลจากกราฟ แผนภูมิ หรือแผนผังอย่างแม่นยำ

  • Task 2: การแสดงความคิดเห็น การโต้แย้ง และการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล

  • ความครบถ้วน: ต้องตอบทุกส่วนของโจทย์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง

  • ความชัดเจน: แนวคิดต้องเข้าใจง่ายและมีการพัฒนาที่เหมาะสม

  • ความเกี่ยวข้อง: เนื้อหาต้องตรงประเด็นและไม่เบี่ยงเบนจากหัวข้อ

Coherence and Cohesion (CC)

วัดความเชื่อมโยงและการจัดระเบียบเนื้อหาให้ผู้อ่านสามารถติดตามได้ง่าย การเขียนที่ดีต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจนและการเชื่อมโยงความคิดที่เหมาะสม

องค์ประกอบสำคัญ:

  • การจัดย่อหน้า: แต่ละย่อหน้ามีแนวคิดหลักชัดเจนและไม่ปะปนกัน

  • คำเชื่อม: ใช้ linking words อย่างเหมาะสมและหลากหลาย

  • การไหลลื่น: ผู้อ่านสามารถติดตามแนวคิดได้โดยไม่สับสน

  • โครงสร้างรวม: มีบทนำ เนื้อหา และบทสรุปที่สมบูรณ์

Lexical Resource (LR)

ประเมินความสามารถด้านคำศัพท์และการใช้ภาษาที่หลากหลายและเหมาะสม ความสามารถในการเลือกใช้คำที่แม่นยำจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Grammatical Range and Accuracy (GRA)

วัดความสามารถทางไวยากรณ์ทั้งในด้านความหลากหลายและความถูกต้อง การใช้โครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มคะแนนในส่วนนี้

4. พาร์ทการพูด (Speaking): องค์ประกอบ 4 ด้านที่ผู้คุมสอบใช้ประเมิน

การประเมิน Speaking จะดำเนินการโดยผู้คุมสอบที่ผ่านการอบรมมาตรฐานสากล โดยจะประเมินตามเกณฑ์ 4 ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้านมีน้ำหนักเท่ากัน การให้คะแนนจะพิจารณาจากการแสดงออกโดยรวมตลอดการสอบ 11-14 นาที

Fluency and Coherence (FC)

ความคล่องแคล่วและความเชื่อมโยงในการพูดที่แสดงถึงความสามารถในการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง:

  • ความต่อเนื่อง: พูดได้โดยไม่หยุดชะงักบ่อยเกินไปหรือใช้เวลานานในการค้นหาคำ

  • ความเร็ว: ใช้จังหวะที่เหมาะสมและเป็นธรรมชาติ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป

  • การพัฒนาแนวคิด: ขยายความและให้รายละเอียดได้อย่างเหมาะสม

  • การเชื่อมโยง: ใช้ discourse markers และ transition words อย่างเหมาะสม

Lexical Resource (LR)

ความสามารถในการใช้คำศัพท์ที่หลากหลายและแม่นยำตามบริบทของการสนทนา

Grammatical Range and Accuracy (GRA)

การใช้ไวยากรณ์ในการพูดที่แสดงถึงความสามารถในการควบคุมโครงสร้างภาษาต่างๆ

Pronunciation (P)

ความชัดเจนในการออกเสียงที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายและไม่เหนื่อยในการฟัง ไม่จำเป็นต้องออกเสียงแบบเจ้าของภาษาแต่ต้องสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

IV. การตีความหมายคะแนน IELTS ในแต่ละระดับ 

Band Score

ระดับผู้ใช้

ความสามารถหลัก

การใช้งานจริง

ข้อผิดพลาด

9

Expert User

ใช้ภาษาได้คล่องแคล่วและแม่นยำอย่างสมบูรณ์

สื่อสารได้ในทุกสถานการณ์ เข้าใจความหมายโดยนัย

ไม่มีข้อผิดพลาด

8

Very Good User

ควบคุมภาษาได้ดีมาก เข้าใจแนวคิดซับซ้อน

ใช้ในการศึกษาและทำงานระดับสูง

มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเป็นครั้งคราว

7

Good User

ใช้ภาษาได้ดี จัดการกับความซับซ้อนได้

เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ทำงานมืออาชีพ

มีข้อผิดพลาดในสถานการณ์ใหม่

6

Competent User

ใช้ภาษาได้มีประสิทธิภาพในสถานการณ์คุ้นเคย

ทำงานทั่วไป เรียนระดับปริญญาตรี

เข้าใจผิดเมื่อเจอสถานการณ์ไม่คุ้นเคย

5

Modest User

ใช้ภาษาได้บางส่วน จัดการกับความหมายรวมได้

ใช้ในการทำงานพื้นฐาน

มีข้อผิดพลาดบ่อย แต่เข้าใจความหมายรวม

4

Limited User

ความสามารถจำกัดในสถานการณ์คุ้นเคย

ใช้ในชีวิตประจำวันง่ายๆ

มีปัญหาในการเข้าใจและสื่อสาร

3

Extremely Limited User

เข้าใจความหมายทั่วไปในสถานการณ์คุ้นเคยมาก

การสื่อสารพื้นฐานที่สุด

การสื่อสารขาดหายบ่อย

2

Intermittent User

ใช้คำและวลีเดี่ยวๆ ในสถานการณ์ทันที

การสื่อสารเร่งด่วนเท่านั้น

เข้าใจได้ยากมาก

1

Non User

ไม่มีความสามารถในการใช้ภาษา

ไม่สามารถสื่อสารได้

ไม่สามารถใช้ภาษาได้

ข้อมูลเพิ่มเติมสำคัญเกี่ยวกับการตีความคะแนน:

  • Band 7-9: ระดับที่IELTS มี กี่ ระดับสูงพอสำหรับการศึกษาระดับสูงและการทำงานมืออาชีพ

  • Band 5-6: IELTS ระดับพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการเรียนต่อและทำงานทั่วไป

  • Band 1-4: ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมอย่างมากก่อนใช้งานจริง

  • การพัฒนาระหว่างระดับ: การขึ้นหนึ่งระดับใช้เวลาประมาณ 200-300 ชั่วโมงการเรียน

V. คะแนน IELTS ควรได้เท่าไหร่? 

1. สำหรับการยื่นเรียนต่อระดับปริญญาตรี-โท-เอก

คะแนน IELTS ควร ได้ เท่า ไหร่ขึ้นอยู่กับสถาบันและสาขาวิชาที่คุณสนใจ การวางแผนเป้าหมายควรพิจารณาทั้งข้อกำหนดขั้นต่ำและคะแนนที่แนะนำเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการตอบรับ

ระดับการศึกษา

คะแนนขั้นต่ำ

คะแนนแนะนำ

สาขาที่ต้องการคะแนนสูง

ปริญญาตรี

5.5-6.0

6.5+

วิศวกรรม แพทย์ กฎหมาย

ปริญญาโท

6.0-6.5

7.0+

MBA การจัดการ ธุรกิจ

ปริญญาเอก

6.5-7.0

7.5+

วิจัย วิทยาศาสตร์

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับการเรียนต่อ:

  • มหาวิทยาลัยชั้นนำ: มักต้องการคะแนนสูงกว่าขั้นต่ำ 0.5-1.0 แบนด์

  • สาขาเฉพาะทาง: บางสาขาอาจกำหนดคะแนนขั้นต่ำแต่ละส่วนแยกกัน

  • การแข่งขัน: คะแนนสูงช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่น

  • ทุนการศึกษา: การได้ทุนการศึกษามักต้องการคะแนนสูงกว่ามาตรฐาน

วิธีคำนวณคะแนน IELTS ที่คุณต้องรู้!
IELTS Score ยื่นเรียนต่อระดับปริญญาตรี-โท-เอก

2. สำหรับการย้ายถิ่นฐาน (Immigration) ไปยังประเทศต่างๆ

ประเทศต่างๆ มีข้อกำหนดไอ เอ ล คะแนน เต็มแตกต่างกันตามนโยบายการให้วีซ่าและการอพยพ การเตรียมตัวควรศึกษาข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละประเทศ

แคนาดา (Express Entry System):

  • คะแนนขั้นต่ำ: 6.0 ทุกส่วนสำหรับ Canadian Language Benchmark (CLB) 7

  • คะแนนแนะนำ: 7.0+ เพื่อเพิ่มคะแนน CRS (Comprehensive Ranking System)

  • การได้คะแนนสูงช่วยเพิ่มโอกาสได้รับเชิญในการจับฉลาก Express Entry

ออสเตรเลีย (Skilled Migration):

  • คะแนนขั้นต่ำ: 6.0 ทุกส่วนสำหรับวีซ่าบางประเภท

  • คะแนนแนะนำ: 7.0-8.0 เพื่อรับคะแนนเพิ่มในระบบ Points Test

  • แต่ละประเภทวีซ่ามีข้อกำหนดแตกต่างกันตามอาชีพและรัฐที่สมัคร

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการย้ายถิ่นฐาน:

  • นิวซีแลนด์: ต้องการ 6.5 ทุกส่วนสำหรับ Skilled Migrant Category

  • สหราชอาณาจักร: ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่า โดยทั่วไปต้องการ 5.5-7.0

  • การประเมินซ้ำ: คะแนน IELTS มีอายุ 2 ปี ต้องวางแผนการสอบให้เหมาะสม

3. สำหรับการสมัครงานในองค์กรนานาชาติ

องค์กรต่างๆ มีข้อกำหนด IELTS band ตามลักษณะงานและระดับการใช้ภาษาอังกฤษ การมีคะแนน IELTS ที่ดีจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการได้งาน

งานที่ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษมาก:

  • คะแนนขั้นต่ำ: 7.0-7.5 โดยรวม

  • ตำแหน่งผู้จัดการ ที่ปรึกษา นักการตลาดระหว่างประเทศ

  • งานด้านการศึกษา การฝึกอบรม การนำเสนอ

งานทั่วไปในองค์กรนานาชาติ:

  • คะแนนขั้นต่ำ: 6.0-6.5 โดยรวม

  • งานด้านเทคนิค การเงิน ทรัพยากรบุคคล IT

  • งานที่ต้องอ่านเอกสารและเขียนรายงานเป็นภาษาอังกฤษ

VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม (FAQs & Advanced Insights)

1. Band Score กับ Raw Score คืออะไรและต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่าง Raw Score และ Band Score เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้สอบควรเข้าใจ:

  • Raw Score: จำนวนข้อที่ทำถูกจากข้อสอบทั้งหมด (เช่น 35/40 ข้อ)

  • Band Score: คะแนนมาตรฐานที่แปลงจาก Raw Score (เช่น Band 8.0)

  • วัตถุประสงค์: ให้ผลสอบมีความเป็นธรรมและเปรียบเทียบได้ทั่วโลก

2. คะแนน IELTS มีวันหมดอายุหรือไม่?

วิธีคำนวณคะแนน IELTSที่ได้มีอายุการใช้งาน 2 ปีนับจากวันที่สอบ หลังจากนั้นผลสอบจะหมดอายุและไม่สามารถใช้ได้

เหตุผลของการกำหนดอายุ:

  • ทักษะภาษาอาจเปลี่ยนแปลงตามการใช้งาน

  • เป็นมาตรฐานสากลในการประเมินความสามารถภาษา

  • ช่วยให้ผลการประเมินสะท้อนความสามารถปัจจุบัน

3. เกณฑ์การให้คะแนนส่วน Writing และ Speaking มีปัจจัยอะไรบ้างที่เหมือนหรือต่างกัน?

เกณฑ์การประเมิน

Writing

Speaking

ความเหมือน/ต่าง

Lexical Resource (LR)

เหมือนกัน - วัดการใช้คำศัพท์

Grammatical Range and Accuracy (GRA)

เหมือนกัน - วัดไวยากรณ์

Task Achievement/Response

Writing เท่านั้น

Coherence and Cohesion

Writing เท่านั้น

Fluency and Coherence

Speaking เท่านั้น

Pronunciation

Speaking เท่านั้น

4. ระหว่าง IELTS Academic และ General Training การให้คะแนนพาร์ท Reading แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด?

ความแตกต่างในการให้คะแนน Reading:

  • ระดับคะแนนสูง (Band 7-9): ใช้เกณฑ์เดียวกัน

  • ระดับคะแนนกลาง (Band 5-6): General Training มีโอกาสได้คะแนนสูงกว่าเล็กน้อย

  • เหตุผล: Academic มีเนื้อหาที่ซับซ้อนกว่า General Training

การเข้าใจวิธีคำนวณคะแนน IELTSอย่างละเอียดช่วยให้คุณวางแผนการเตรียมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง ระบบการให้คะแนน IELTS มีความซับซ้อนแต่เมื่อเข้าใจหลักการแล้วจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างมีทิศทาง

ประโยชน์ของการเข้าใจระบบคะแนน: การวางแผนที่แม่นยำ: รู้ว่าต้องพัฒนาทักษะส่วนไหนมากที่สุด การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม: กำหนดคะแนนเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การใช้งาน การจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: เน้นการฝึกฝนในส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ความมั่นใจในการสอบ: เข้าใจระบบการประเมินทำให้สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่

การรู้จักตารางแปลงคะแนน เกณฑ์การประเมิน และกฎการปัดเศษจะทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องสอบ นอกจากนี้ การเข้าใจความหมายของแต่ละระดับคะแนนยังช่วยให้คุณประเมินความก้าวหน้าได้อย่างถูกต้องและวางแผนการพัฒนาต่อไปได้อย่างเหมาะสม

สำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมตัวสอบ IELTS อย่างเป็นระบบ PREP มีหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะพร้อมระบบวิเคราะห์คะแนนแบบละเอียด ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายคะแนนที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลา

เลือก PREP สำหรับเส้นทางการเรียน IELTS ของคุณ! ด้วยเทคโนโลยี Prep AI คุณสามารถเรียนออนไลน์ที่บ้าน เรียนด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ และพิชิตเป้าหมายด้วยคอร์ส IELTS ที่ครบครัน นอกจากนี้ คุณยังได้รับการสนับสนุนแบบ 1-1 จาก Teacher Bee AI ผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดการเรียน
ติดต่อ HOTLINE +6624606789 หรือคลิกที่นี่เพื่อสมัครเรียนทันที!
ดาวน์โหลดแอป PREP วันนี้ เพื่อเรียน IELTS ที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมโปรแกรมฝึกสอบออนไลน์คุณภาพสูง ที่จะช่วยให้คุณทำคะแนนได้อย่างน่าประทับใจ!

Mook
Product Content Admin

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมุก ปัจจุบันดูแลด้านเนื้อหาผลิตภัณฑ์ของ Prep Education ค่ะ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในการเรียน IELTS ออนไลน์ด้วยตนเอง ฉันเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ผู้เรียนต้องเผชิญ แล้วก็รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์ก
มุกอยากเอาประสบการณ์ตรงนี้มาช่วยแชร์ แล้วก็ซัพพอร์ตเพื่อน ๆ ให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดค่ะ

ความคิดเห็นความคิดเห็น

0/300 ตัวอักษร
Loading...

แผนการเรียนรู้ส่วนบุคคล

TH30

อ่านมากที่สุด

ลงทะเบียนเพื่อรับคำปรึกษาแผนการเรียน

กรุณาแจ้งข้อมูลของคุณ Prep จะติดต่อเพื่อให้คำปรึกษาให้คุณทันที!

bg contact

ติดต่อ Prep ผ่านโซเชียล

facebookyoutubeinstagram
logo footer Prep
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์
get prep on Google Playget Prep on app store
หลักสูตร
เชื่อมต่อกับเรา
mail icon - footerfacebook icon - footer
คุณอาจสนใจ
Prep Technology Co., LTD.

Address: ตึก C.P. Tower 2 (ฟอร์จูนทาวน์) ชั้น 21 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
Hotline: +6624606789
Email: sawatdee@prepedu.com

ได้รับการรับรองโดย