ค้นหาบทความการศึกษา

Irregular Verbs คืออะไร? เรียนรู้การใช้และวิธีจำคำกริยาผันที่ไม่เป็นปกติ

หลายคนเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปี แต่ยังใช้ "I goed to school yesterday" หรือ "She writed a letter" ผิดๆ อยู่เรื่อยๆ ปัญหานี้เกิดจากการไม่เข้าใจ Irregular Verbs ซึ่งเป็นกริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎการเติม -ed แบบปกติ และถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง

Irregular verbs คือ คำกริยาที่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่สามารถใช้กฎกริยา เติม ed แบบทั่วไป การเรียนรู้ irregular verbs คืออะไร จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ

คำกริยาที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกว่า 70% เป็น irregular verbs เช่น be, have, do, go, see, take, make ทั้งหมด กริยาเหล่านี้ปรากฏในทุกบทสนทนาและการเขียน ตั้งแต่การสื่อสารระดับพื้นฐานไปจนถึงการสอบ IELTS, TOEIC

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง regular irregular ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าทำไม walk → walked → walked (กริยาปกติ) แต่ go → went → gone (กริยาไม่ปกติ) การเรียนรู้ irregular verbs list ที่สำคัญจะช่วยให้คุณใช้ Past Simple, Present Perfect, Passive Voice ได้อย่างถูกต้อง

ปัจจุบัน verb 2 และ กริยา เปลี่ยน รูป แบบไม่ปกติกลายเป็นความจำเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะสำหรับการสอบวัดผลทางการศึกษา การสมัครงาน หรือการสื่อสารในสถานการณ์จริง ความเข้าใจที่ผิดพลาดในเรื่องนี้อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในการใช้ภาษาอังกฤษของคุณ

บทความนี้จะนำเสนอวิธีจำ Irregular Verbs อย่างเป็นระบบผ่านการจัดกลุ่มตามรูปแบบการเปลี่ยนรูป AAA, ABB, ABC, ABA พร้อมเทคนิคการจำที่มีประสิทธิภาพ คุณจะได้เรียนรู้กริยาที่ใช้บ่อยกว่า 100 คำ พร้อมตัวอย่างประโยคและการแปลที่เข้าใจง่าย ช่วยให้คุณนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ทันที

มาเริ่มต้นเรียนรู้ irregular verbs คือ อะไรกันอย่างละเอียด และค้นพบเคล็ดลับการจำที่จะเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นความเชี่ยวชาญ

Irregular Verbs คืออะไร? วิธีใช้และตัวอย่างในภาษาอังกฤษ
Irregular Verbs คืออะไร? วิธีใช้และตัวอย่างในภาษาอังกฤษ
  1. I. Irregular Verbs คืออะไร? 
    1. 1. นิยามของ Irregular Verbs
    2. 2. เปรียบเทียบ Regular Verbs vs. Irregular Verbs
  2. II. รู้จัก 'กริยา 3 ช่อง': หัวใจของการผัน Irregular Verbs
    1. 1. ช่องที่ 1 (V1): Base Form - รูปพื้นฐานของคำกริยา
    2. 2. ช่องที่ 2 (V2): Past Simple - รูปอดีตที่ใช้บ่อยที่สุด
    3. 3. ช่องที่ 3 (V3): Past Participle - รูปที่ใช้ใน Tense ที่ซับซ้อนและ Passive Voice
  3. III. จัดกลุ่ม Irregular Verbs ตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลง
    1. 1. รูปเหมือนกันทั้ง 3 ช่อง (AAA)
    2. 2. ช่อง 2 และ 3 เหมือนกัน (ABB)
    3. 3. ทั้ง 3 ช่องมีรูปต่างกัน (ABC)
    4. 4. ช่อง 1 และ 3 เหมือนกัน (ABA)
    5. 5. กลุ่มพิเศษ: คำกริยาที่เปลี่ยนแปลงสระภายในคำ (i-a-u)
  4. IV. ตัวอย่างการใช้ Irregular Verbs ในประโยค
    1. 1. การใช้ช่องที่ 2 (V2) ใน Past Simple Tense
    2. 2. การใช้ช่องที่ 3 (V3) ใน Present Perfect Tense
    3. 3. การใช้ช่องที่ 3 (V3) ใน Passive Voice (ประโยคที่ประธานถูกกระทำ)
  5. V. เทคนิคช่วยจำ Irregular Verbs 
  6. VI. Irregular Verbs ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
    1. 1. กริยาพื้นฐานที่ใช้ทุกวัน
    2. 2. กริยาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
    3. 3. กริยาเกี่ยวกับอาหารและการดำรงชีวิต
    4. 4. กริยาเกี่ยวกับการเรียนรู้และการทำงาน
  7. VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Irregular Verbs
    1. 1. นอกจาก Irregular Verbs ทั่วไปแล้ว 'Semi-modal Verbs' เช่น Dare และ Need คืออะไร?
    2. 2. สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มจำ Irregular Verbs กลุ่มไหนก่อนเป็นอันดับแรก?
    3. 3. จริงหรือไม่ที่คำกริยาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็น Irregular Verbs?
    4. 4. Irregular Verbs ในภาษาอังกฤษ แตกต่างจากกริยาผันไม่ปกติในภาษาเยอรมันอย่างไร?

I. Irregular Verbs คืออะไร? 

1. นิยามของ Irregular Verbs

Irregular verbs คือ คำกริยาที่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปเป็น Past Simple และ Past Participle ด้วยการเติม -ed ที่ท้ายคำ แต่จะมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กริยาประเภทนี้มักเป็นคำที่มีต้นกำเนิดจากภาษาเยอรมันโบราณและได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับ irregular verbs คุณจะพบว่าคำกริยาเหล่านี้ไม่เป็นไปตามกฎทั่วไปของการกริยา เติม ed เช่น walk → walked → walked แต่จะมีรูปแบบเฉพาะตัว เช่น go → went → gone หรือ eat → ate → eaten

2. เปรียบเทียบ Regular Verbs vs. Irregular Verbs

ประเภทกริยา

รูปแบบการเปลี่ยน

ตัวอย่าง

Regular Verbs

V1 + ed = V2/V3

play → played → played

Irregular Verbs

เปลี่ยนรูปไม่เป็นระบบ

write → wrote → written

การเปรียบเทียบระหว่าง regular irregular นี้ช่วยให้เข้าใจความแตกต่างพื้นฐาน Regular verbs มีกฎการเปลี่ยนรูปที่ชัดเจน ในขณะที่ irregular verbs คืออะไร ที่ต้องจำรูปแบบเฉพาะของแต่ละคำ

คำกริยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการสื่อสารภาษาอังกฤษประจำวันกว่า 70% เป็น irregular verbs เช่น be, have, do, say, get, make คำกริยาเหล่านี้ปรากฏในทุกบทสนทนาและการเขียน ทำให้การเรียนรู้ irregular verbs คือ ความจำเป็นพื้นฐานสำหรับการใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

การเข้าใจ irregular verbs list ช่วยให้คุณสามารถใช้ tenses ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น Past Simple, Present Perfect, หรือ Passive Voice ซึ่งล้วนต้องใช้รูปผันของกริยาเหล่านี้

Irregular Verbs คืออะไร? วิธีใช้และตัวอย่างในภาษาอังกฤษ
เปรียบเทียบ Regular Verbs vs. Irregular Verbs

II. รู้จัก 'กริยา 3 ช่อง': หัวใจของการผัน Irregular Verbs

1. ช่องที่ 1 (V1): Base Form - รูปพื้นฐานของคำกริยา

V1 หรือ Base Form คือรูปต้นของคำกริยาที่ใช้ในประโยคปัจจุบันธรรมดา เช่น: I go to school every day (ฉันไปโรงเรียนทุกวัน) 

รูปนี้ใช้กับประธานพหูพจน์และประธานบุรุษที่ 1 และ 2

2. ช่องที่ 2 (V2): Past Simple - รูปอดีตที่ใช้บ่อยที่สุด

Verb 2 หรือ Past Simple Form ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงในอดีต เช่น: I went to the market yesterday (ฉันไปตลาดเมื่อวาน) 

รูปนี้ใช้กับประธานทุกตัวในประโยคอดีตธรรมดา

3. ช่องที่ 3 (V3): Past Participle - รูปที่ใช้ใน Tense ที่ซับซ้อนและ Passive Voice

V3 หรือ Past Participle ใช้ร่วมกับ auxiliary verbs ในการสร้าง Perfect Tenses และ Passive Voice เช่น: I have gone there before (ฉันเคยไปที่นั่นมาแล้ว) 

หรือ The letter was written by him (จดหมายถูกเขียนโดยเขา)

III. จัดกลุ่ม Irregular Verbs ตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลง

1. รูปเหมือนกันทั้ง 3 ช่อง (AAA)

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

cut

cut

cut

ตัด

I cut the paper with scissors (ฉันตัดกระดาษด้วยกรรไกร)

put

put

put

วาง

She put the book on the table (เธอวางหนังสือบนโต๊ะ)

hit

hit

hit

ตี

The ball hit the window (ลูกบอลกระแทกหน้าต่าง)

shut

shut

shut

ปิด

Please shut the door (กรุณาปิดประตู)

split

split

split

แยก

We split the bill at the restaurant (เราแบ่งจ่ายค่าอาหารที่ร้าน)

cost

cost

cost

ราคา

This shirt cost 500 baht (เสื้อตัวนี้ราคา 500 บาท)

hurt

hurt

hurt

ทำร้าย

My back hurt after exercise (หลังฉันเจ็บหลังออกกำลังกาย)

let

let

let

ให้

My parents let me go to the party (พ่อแม่ให้ฉันไปงานปาร์ตี้)

Irregular Verbs คืออะไร? วิธีใช้และตัวอย่างในภาษาอังกฤษ
รูปเหมือนกันทั้ง 3 ช่อง (AAA)

2. ช่อง 2 และ 3 เหมือนกัน (ABB)

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

buy

bought

bought

ซื้อ

I bought a new car last week (ฉันซื้อรถใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว)

teach

taught

taught

สอน

My father taught me how to drive (พ่อสอนฉันขับรถ)

catch

caught

caught

จับ

The cat caught a mouse (แมวจับหนู)

bring

brought

brought

นำมา

She brought lunch to work (เธอนำอาหารกลางวันไปที่ทำงาน)

think

thought

thought

คิด

I thought about you yesterday (ฉันคิดถึงเธอเมื่อวาน)

fight

fought

fought

ต่อสู้

The soldiers fought bravely (ทหารต่อสู้อย่างกล้าหาญ)

build

built

built

สร้าง

They built a new house (พวกเขาสร้างบ้านใหม่)

send

sent

sent

ส่ง

I sent an email to my boss (ฉันส่งอีเมลให้หัวหน้า)

spend

spent

spent

ใช้จ่าย

We spent all day at the beach (เราใช้เวลาทั้งวันที่ชายหาด)

find

found

found

พบ

I found my keys in the bag (ฉันพบกุญแจในกระเป๋า)

3. ทั้ง 3 ช่องมีรูปต่างกัน (ABC)

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

go

went

gone

ไป

We have gone to many countries (เราไปหลายประเทศแล้ว)

eat

ate

eaten

กิน

The food was eaten by the guests (อาหารถูกแขกกิน)

write

wrote

written

เขียน

The letter was written in English (จดหมายถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษ)

see

saw

seen

เห็น

I have seen this movie before (ฉันเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว)

take

took

taken

เอา

My wallet was taken from my bag (กระเป๋าเงินถูกเอาออกจากกระเป๋า)

give

gave

given

ให้

The prize was given to the winner (รางวัลถูกมอบให้ผู้ชนะ)

know

knew

known

รู้

This place has been known for its food (สถานที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหาร)

break

broke

broken

หัก/แตก

The window was broken by the ball (หน้าต่างถูกลูกบอลทำให้แตก)

speak

spoke

spoken

พูด

English is spoken worldwide (ภาษาอังกฤษถูกพูดทั่วโลก)

choose

chose

chosen

เลือก

The winner was chosen by the judges (ผู้ชนะถูกเลือกโดยกรรมการ)

Irregular Verbs คืออะไร? วิธีใช้และตัวอย่างในภาษาอังกฤษ
ทั้ง 3 ช่องมีรูปต่างกัน (ABC)

4. ช่อง 1 และ 3 เหมือนกัน (ABA)

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

come

came

come

มา

They have come back home (พวกเขากลับบ้านแล้ว)

run

ran

run

วิ่ง

I have run 5 kilometers today (ฉันวิ่ง 5 กิโลเมตรวันนี้)

become

became

become

กลายเป็น

She has become a doctor (เธอกลายเป็นหมอแล้ว)

5. กลุ่มพิเศษ: คำกริยาที่เปลี่ยนแปลงสระภายในคำ (i-a-u)

กลุ่มนี้มีรูปแบบการกริยา เปลี่ยน รูปที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเปลี่ยนสระตัวกลางตามลำดับ i → a → u

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

sing

sang

sung

ร้องเพลง

The song was sung beautifully (เพลงถูกร้องอย่างไพเราะ)

ring

rang

rung

ดัง

The bell has rung three times (ระฆังดังสามครั้งแล้ว)

begin

began

begun

เริ่มต้น

The meeting has begun (การประชุมเริ่มต้นแล้ว)

drink

drank

drunk

ดื่ม

All the water has been drunk (น้ำถูกดื่มหมดแล้ว)

swim

swam

swum

ว่ายน้ำ

She has swum across the lake (เธอว่ายน้ำข้ามทะเลสาบแล้ว)

IV. ตัวอย่างการใช้ Irregular Verbs ในประโยค

1. การใช้ช่องที่ 2 (V2) ใน Past Simple Tense

Past Simple Tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในอดีต การใช้ verb 2 ในประโยคนี้ต้องระวังเรื่องการผันรูปที่ไม่เป็นไปตามกฎ เช่น 

  • I saw a beautiful sunset yesterday (ฉันเห็นพระอาทิตย์ตกที่สวยงามเมื่อวาน) 

  • She made a delicious cake for the party (เธอทำเค้กอร่อยสำหรับงานปาร์ตี้)

2. การใช้ช่องที่ 3 (V3) ใน Present Perfect Tense

Present Perfect Tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังมีผลกระทบต่อปัจจุบัน เช่น 

  • I have broken my phone (ฉันทำโทรศัพท์แตก) 

  • They have driven to Bangkok three times this month (พวกเขาขับรถไปกรุงเทพสามครั้งในเดือนนี้)

3. การใช้ช่องที่ 3 (V3) ใน Passive Voice (ประโยคที่ประธานถูกกระทำ)

Passive Voice ใช้เมื่อต้องการเน้นสิ่งที่ถูกกระทำมากกว่าผู้กระทำ เช่น 

  • The window was broken by the storm (หน้าต่างถูกพายุทำให้แตก) 

  • This book was written by a famous author (หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนโดยนักเขียนชื่อดัง)

V. เทคนิคช่วยจำ Irregular Verbs 

1. การใช้ Flashcards และแอปพลิเคชัน

การสร้าง flashcards ด้วยการเขียน V1, V2, V3 และความหมายไว้คนละด้าน ช่วยให้สามารถทบทวนได้ทุกที่ทุกเวลา แอปพลิเคชันอย่าง Anki หรือ Quizlet ยังมีระบบ spaced repetition ที่ช่วยให้จำได้นานขึ้น

2. การแต่งประโยคจากคำศัพท์ที่เรียน

การนำ irregular verbs คือ คำที่เรียนมาแต่งประโยคในบริบทจริง ช่วยให้เข้าใจการใช้งานได้ดีขึ้น เช่น เมื่อเรียนคำว่า "choose - chose - chosen" ให้แต่งประโยคว่า "I chose this restaurant because the food is delicious" (ฉันเลือกร้านนี้เพราะอาหารอร่อย)

3. การท่องเป็นเพลงหรือจังหวะ

การจำคำกริยาด้วยการท่องเป็นจังหวะหรือเพลง ช่วยให้จำได้ง่ายและนานขึ้น เช่น "Go, went, gone - See, saw, seen - Take, took, taken" เมื่อท่องซ้ำหลายครั้งจะติดใจและเรียกใช้ได้รวดเร็ว

4. การฝึกทำแบบฝึกหัดและข้อสอบ

การทำแบบทดสอบและแบบฝึกหัดเป็นประจำ ช่วยให้ทราบจุดอ่อนและสามารถปรับปรุงได้ตรงจุด ควรเริ่มจากแบบฝึกหัดง่ายๆ แล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้น

VI. Irregular Verbs ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

1. กริยาพื้นฐานที่ใช้ทุกวัน

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

have

had

had

มี

I have had this phone for two years (ฉันมีโทรศัพท์เครื่องนี้มาสองปีแล้ว)

do

did

done

ทำ

The work was done yesterday (งานถูกทำเสร็จเมื่อวาน)

make

made

made

ทำ/สร้าง

She made breakfast this morning (เธอทำอาหารเช้าวันนี้)

get

got

got/gotten

ได้รับ

I got your message (ฉันได้รับข้อความของเธอ)

say

said

said

พูด

What did you say? (เธอพูดอะไร?)

feel

felt

felt

รู้สึก

I felt happy when I saw you (ฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นเธอ)

tell

told

told

บอก

He told me the truth (เขาบอกความจริงกับฉัน)

hear

heard

heard

ได้ยิน

I heard a strange noise (ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ)

2. กริยาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

drive

drove

driven

ขับรถ

She has driven to work every day

(เธอขับรถไปทำงานทุกวัน)

ride

rode

ridden

ขี่

I rode my bicycle to school

(ฉันขี่จักรยานไปโรงเรียน)

fly

flew

flown

บิน

The bird flew over the house

(นกบินผ่านบ้าน)

fall

fell

fallen

ตก/ล้ม

The leaves have fallen from the tree

(ใบไม้ร่วงจากต้นไม้แล้ว)

throw

threw

thrown

โยน

He threw the ball to me

(เขาโยนลูกบอลมาให้ฉัน)

jump

jumped

jumped

กระโดด

The cat jumped onto the table

(แมวกระโดดขึ้นโต๊ะ)

3. กริยาเกี่ยวกับอาหารและการดำรงชีวิต

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

cook

cooked

cooked

ทำอาหาร

My mother cooked dinner for us

(แม่ทำอาหารเย็นให้เรา)

sleep

slept

slept

นอน

I slept for 8 hours last night

(ฉันนอนหลับ 8 ชั่วโมงเมื่อคืน)

wake

woke

woken

ตื่น

I woke up early this morning

(ฉันตื่นเช้าวันนี้)

wear

wore

worn

ใส่

She wore a beautiful dress

(เธอใส่ชุดสวย)

sell

sold

sold

ขาย

They sold their house last month

(พวกเขาขายบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว)

pay

paid

paid

จ่าย

I paid the bill at the restaurant

(ฉันจ่ายบิลที่ร้านอาหาร)

4. กริยาเกี่ยวกับการเรียนรู้และการทำงาน

V1

V2

V3

ความหมาย

ตัวอย่างประโยค

learn

learned/learnt

learned/learnt

เรียนรู้

I learned English at school

(ฉันเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน)

read

read

read

อ่าน

She read a book last night

(เธออ่านหนังสือเมื่อคืน)

understand

understood

understood

เข้าใจ

I understood the lesson

(ฉันเข้าใจบทเรียน)

forget

forgot

forgotten

ลืม

I forgot my password

(ฉันลืมรหัสผ่าน)

remember

remembered

remembered

จำได้

Do you remember me?

(เธอจำฉันได้ไหม?)

meet

met

met

พบ

We met at the coffee shop

(เราพบกันที่ร้านกาแฟ)

VII. คำถามที่พบบ่อยและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Irregular Verbs

1. นอกจาก Irregular Verbs ทั่วไปแล้ว 'Semi-modal Verbs' เช่น Dare และ Need คืออะไร?

Semi-modal verbs เป็นคำกริยาที่มีลักษณะผสมผสานระหว่าง modal verbs และ main verbs คำเช่น dare และ need สามารถใช้ได้ทั้งแบบ modal (ไม่เติม s กับประธานเอกพจน์) และแบบ main verb (เติม s ตามปกติ) ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยค

2. สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มจำ Irregular Verbs กลุ่มไหนก่อนเป็นอันดับแรก?

ควรเริ่มจากกลุ่ม AAA (รูปเหมือนกันทั้ง 3 ช่อง) เช่น cut, put, hit เพราะจำง่ายที่สุด จากนั้นเป็นกลุ่ม ABB เช่น buy-bought-bought และกลุ่ม ABA เช่น come-came-come สุดท้ายจึงเรียนกลุ่ม ABC ที่ซับซ้อนที่สุด

3. จริงหรือไม่ที่คำกริยาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็น Irregular Verbs?

จริง คำกริยา 25 อันดับแรกที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ เช่น be, have, do, say, get, make, go, know, take, see กว่า 70% เป็น irregular verbs ทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้กริยาประเภทนี้

4. Irregular Verbs ในภาษาอังกฤษ แตกต่างจากกริยาผันไม่ปกติในภาษาเยอรมันอย่างไร?

ภาษาเยอรมันมี irregular verbs ที่ซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษมาก เนื่องจากมีการผันตาม case และ gender ด้วย ในขณะที่ภาษาอังกฤษเหลือเพียงการผันตาม tense เท่านั้น ทำให้ irregular verbs คืออะไร ในภาษาอังกฤษเรียนรู้ได้ง่ายกว่า

การเรียนรู้ irregular verbs คือ รากฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและธรรมชาติ แม้ว่าการจำ irregular verbs list จะดูท้าทายในตอนแรก แต่ด้วยการจัดกลุ่มตามรูปแบบการเปลี่ยนรูปและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถเชี่ยวชาญกริยาเหล่านี้ได้

จำไว้ว่า irregular verbs คืออะไร ที่ต้องใช้ความอดทนและการฝึกฝนต่อเนื่อง เริ่มจากกลุ่มง่ายๆ และค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อน ด้วยเทคนิคการจำที่หลากหลายและการนำไปใช้ในประโยคจริง คุณจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

Mook
Product Content Admin

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมุก ปัจจุบันดูแลด้านเนื้อหาผลิตภัณฑ์ของ Prep Education ค่ะ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในการเรียน IELTS ออนไลน์ด้วยตนเอง ฉันเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ผู้เรียนต้องเผชิญ แล้วก็รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์ก
มุกอยากเอาประสบการณ์ตรงนี้มาช่วยแชร์ แล้วก็ซัพพอร์ตเพื่อน ๆ ให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดค่ะ

ความคิดเห็นความคิดเห็น

0/300 ตัวอักษร
Loading...
เข้าสู่ระบบ
เพื่อสัมผัสเนื้อหาพรีเมียมที่ปรับให้เหมาะกับคุณ

เนื้อหาแบบพรีเมียมเนื้อหาแบบพรีเมียม

ดูทั้งหมด

แผนการเรียนรู้ส่วนบุคคล

TH30

อ่านมากที่สุด

ลงทะเบียนเพื่อรับคำปรึกษาแผนการเรียน

กรุณาแจ้งข้อมูลของคุณ Prep จะติดต่อเพื่อให้คำปรึกษาให้คุณทันที!

bg contact

ติดต่อ Prep ผ่านโซเชียล

facebookyoutubeinstagram
logo footer Prep
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์
get prep on Google Playget Prep on app store
หลักสูตร
เชื่อมต่อกับเรา
mail icon - footerfacebook icon - footer
คุณอาจสนใจ
Prep Technology Co., LTD.

Address: ตึก C.P. Tower 2 (ฟอร์จูนทาวน์) ชั้น 21 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
Hotline: +6624606789
Email: sawatdee@prepedu.com

ได้รับการรับรองโดย