ค้นหาบทความการศึกษา
สรุปวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษามากที่สุด
นอกเหนือจากการมีความรู้ด้านไวยากรณ์และคําศัพท์อย่างครอบคลุมแล้ว คุณยังจำเป็นต้องมีความเข้าใจให้ชัดเจนในวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปพัฒนาทักษะการสื่อสารของคุณ โดยในบทความด้านล่างนี้ PREP ได้ทำการสรุปกฎการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องที่คุณควรจะเก็บเอาไว้!
-
- I. กฎการออกเสียงภาษาอังกฤษตามรูปแบบ IPA มาตรฐาน
- II. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - กฎการเน้นเสียง
- III. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ suffixes บางตัวในภาษาอังกฤษ
- IV. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - กฎในการเชื่อมเสียง
- V. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - Chunking rules
- VI. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - การขึ้นเสียงสูงต่ำ
- VII. แนวทางการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ
I. กฎการออกเสียงภาษาอังกฤษตามรูปแบบ IPA มาตรฐาน
ก่อนอื่นเลย PREP จะแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษตามรูปแบบ IPA มาตรฐาน:
1. IPA คืออะไร
IPA ย่อมาจาก สัทอักษรสากล (International Phonetic Alphabet) โดยที่ IPA เป็นระบบอักษรแทนเสียง ที่สร้างขึ้นและถูกใช้โดยนักภาษาศาสตร์เพื่อแทนเสียงในภาษาอย่างถูกต้องและให้แตกต่างกันตามเสียงที่เป็นจริง IPA นั้นได้รับการศึกษาและพัฒนาโดยสมาคมสัทอักษรสากล
หลักการของ IPA คือจะใช้อักษรที่แตกต่างกันสําหรับแต่ละหน่วยเสียง โดยสามารถใช้เพื่อแยกแยะเสียงเพียงเสียงเดียวที่อาจจะถูกเขียนด้วยอักษรสองตัว หรือคําที่เขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงแตกต่างกัน ตัวอักษรในตารางเหล่านั้นก็จะมีวิธีออกเสียงอังกฤษแบบเดียว ไม่ว่าจะอยู่ตรงตำแหน่งใดของคำใด ๆ
2. โครงสร้างของ IPA
ตารางสัญลักษณ์ IPA ประกอบด้วยเสียง 44 เสียง ซึ่งรวมทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะ โดยมีรายละเอียดดังนี้
เสียงสระ 20 เสียง: สระเดี่ยว 12 เสียง และสระประสม 8 เสียง
เสียงพยัญชนะ 24 เสียง: พยัญชนะไม่ก้องและพยัญชนะก้อง
3. วิธีการอ่านตารางสัญลักษณ์ IPA
เรามาเรียนรู้วิธีอ่านเสียงแต่ละเสียงอย่างละเอียด โดยเราต้องจับความเข้าใจกฎการออกเสียงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อเราเรียน ต้องลองเปรียบเทียบเสียงที่คล้ายกัน และต้องจดจําเสียงที่อาจจะทําให้สับสน
หลังจากคุณได้อ่านดูเสียงแต่ละเสียงแล้ว จากนั้นจึงเริ่มเรียนรู้เสียงในตําแหน่งต่างๆ เช่น ต้นคํา ปลายคํา หรือกลางคํา
และเพื่อให้เข้าใจรายละเอียดของแต่ละเสียงได้อย่างชัดเจน คุณสามารถอ่านจากบทความนี้ของเราด้านล่าง
4. แบบฝึกหัดการฝึกการออกเสียงพื้นฐาน
เลือกตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้ออกเสียงที่แตกต่างจากคําอื่น:
แบบฝึกหัดที่ 1
1. A. rough B. sum C. utter D. union
2. A. noon B. tool C. blood D. spoon
3. A. chemist B. chicken C. church D. century
4. A. thought B. tough C. taught D. bought
5. A. pleasure B. heat C. meat D. feed
6. A. chalk B. champagne C. machine D. ship
7. A. knit B. hide C. tide D. fly
8. A. put B. could C. push D. moon
9. A. how B. town C. power D. slow
10. A. talked B. naked C. asked D. liked
แบบฝึกหัดที่ 2
1. A. hear B. clear C. bear D. ear
2. A. heat B. great C. beat D. break
3. A. blood B. pool C. food D. tool
4. A. university B. unique C. unit D. undo
5. A. mouse B. could C. would D. put
6. A. faithful B. failure C. fairly D. fainted
7. A. course B. court C. pour D. courage
8. A. worked B. stopped C. forced D. wanted
9. A. new B. sew C. few D. nephew
10. A. sun B. sure C. success D. sort
เฉลย
- แบบฝึกหัดที่ 1: 1d 2c 3a 4b 5a 6a 7a 8d 9d 10b
- แบบฝึกหัดที่ 2: 1c 2b 3a 4d 5a 6c 7d 8d 9b 10b
II. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - กฎการเน้นเสียง
การที่คุณเข้าใจและจับกฎการเน้นเสียงได้อย่างชัดเจนจะช่วยให้การออกเสียงมีการเน้นเสียงที่ดียิ่งขึ้น เหมือนกับคุณพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ โดยด้านล่างเป็นกฎการเน้นเสียง 15 ข้อที่ควรทราบ:
1. กฎการเน้นเสียงสําหรับคําสองพยางค์
กฎที่ 1:
- สําหรับคํากริยาสองพยางค์ ตำแหน่งเน้นเสียงจะอยู่ที่พยางค์ที่สอง เช่น assist (ช่วย) /əˈsɪst/; destroy (ทำลาย) /dɪˈstrɔɪ/
- อย่างไรก็ตาม กริยาสองพยางค์บางตัวจะมีตำแหน่งเน้นเสียงอยู่ที่พยางค์ที่หนึ่ง เช่น open (เปิด) /ˈəʊ.pən/; listen (ฟัง) /ˈlɪs.ən/
กฎที่ 2: คํานามและคําคุณศัพท์ส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งเน้นเสียงหลักอยู่ที่พยางค์ที่หนึ่ง เช่น mountain (ภูเขา) /ˈmaʊn.tən/; handsome (หล่อ) /ˈhæn.səm/
กฎที่ 3:
- ตำแหน่งเน้นเสียงของบางคําจะเปลี่ยนแปลงไปซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของคำ สําหรับคําที่สามารถเป็นได้ทั้งนามและกริยา ถ้าเป็นนามจังหวะเน้นจะอยู่ที่พยางค์ที่หนึ่ง ถ้าเป็นกริยาจะอยู่ที่พยางค์ที่สอง เช่น Record (บันทึก) (v) /rɪˈkɔːrd/ และ record (การบันทึก) (n) /ˈrek.ɚd/
- ข้อยกเว้น: visit (เยี่ยม) /ˈvɪz.ɪt/, travel (เที่ยว) /ˈtræv.əl/, promise (สัญญา) /ˈprɑː.mɪs/ ตำแหน่งเน้นเสียงจะอยู่ที่พยางค์ที่หนึ่งเสมอ
2. กฎการเน้นเสียงสําหรับคําสามพยางค์ขึ้นไป
- กฎที่ 1: สําหรับคําที่ลงท้ายด้วย -ic, -ian, -tion, -sion ตำแหน่งเน้นเสียงปกติอยู่ที่พยางค์ก่อนสุดท้าย เช่น precision (ความแม่นยำ) /prɪˈsɪʒ.ən/, scientific (ทางวิทยาศาสตร์) /ˌsaɪənˈtɪf.ɪk/
- กฎที่ 2: สําหรับคําลงท้ายด้วย -ade, -ee, -ese, -eer, -eete, -oo, -oon, -ique, -aire ตำแหน่งเน้นเสียงจะอยู่อยู่ที่พยางค์สุดท้ายนั้น เช่น Vietnamese (คน/ภาษาเวียดนาม)/ˌvjet.nəˈmiːz/, questionnaire (แบบสอบถาม) /ˌkwes.tʃəˈneər/
- กฎที่ 3: สําหรับคําที่ลงท้ายด้วย al, ful, y ตำแหน่งเน้นเสียงจะอยู่ที่พยางค์ที่สามจากด้านท้าย เช่น natural (เป็นธรรมชาติ) /ˈnætʃ.ər.əl/, ability (ความสามารถ) /əˈbɪl.ə.ti/
- กฎที่ 4: คำที่เติมด้วย prefix ตัว prefix จะไม่เน้นเสียง และจะเน้นในตำแหน่งต่อไป เช่น unable (ไม่สามารถ) /ʌnˈeɪ.bəl/, illegal (ผิดกฎหมาย) /ɪˈliː.ɡəl/
- กฎที่ 5: สําหรับคําที่ลงท้ายด้วย -ever ตำแหน่งเน้นเสียงจะอยู่ที่พยางค์แรกของ -ever เช่น whatever (อะไรก็ได้) /wɒtˈev.ər/, whenever (เมื่อไหร่ก็ได้) /wenˈev.ər/
3. กฎการเน้นเสียงสําหรับคําประสม
- กฎที่ 1: ตำแหน่งเน้นเสียงในคําประสมจะอยู่ที่พยางค์หนึ่ง เช่น raincoat (เสื้อกันฝน) /ˈreɪŋ.kəʊt/, sunrise (พระอาทิตย์ขึ้น) /ˈsʌn.raɪz/
- กฎที่ 2: ตำแหน่งเน้นเสียงในคําคุณศัพท์ที่เกิดจากการประสมจะอยู่ที่พยางค์สอง เช่น home-sick (คิดถึงบ้าน) /ˈhəʊm.sɪk/, water-proof (กันน้ำ) /ˈwɔː.tə.pruːf/
- กฎที่ 3: ตำแหน่งเน้นเสียงในคํากริยาประสมจะอยู่ที่พยางค์สอง เช่น undertake (ดำเนินการ) /ˌʌn.dəˈteɪk/, overcome (เอาชนะ) /ˌəʊ.vəˈkʌm/
4. การฝึกการเน้นเสียง
ให้เลือกคําที่มีรูปแบบการเน้นเสียงที่แตกต่างจากข้ออื่น
- ข้อที่หนึ่ง 1: A. occurrence B. preference C. particular D. spectator
- ข้อที่หนึ่ง 2: A. pioneer B. principle C. architect D. military
- ข้อที่หนึ่ง 3: A. utterance B. performance C. attendance D. reluctance
- ข้อที่หนึ่ง 4: A. terrorist B. terrific C. librarian D. respectable
- ข้อที่หนึ่ง 5: A. achievement B. ferocious C. adventure D. orient
- ข้อที่หนึ่ง 6: A. abduction B. ablaze C. abnormal D. absolutely
- ข้อที่หนึ่ง 7: A. abbreviate B. abandon C. abdication D. abscond
- ข้อที่หนึ่ง 8: A. abnormality B. abstention C. abortive D. inferior
- ข้อที่หนึ่ง 9: A. brotherhood B. cluster C. alimony D. enquiry
- ข้อที่หนึ่ง 10: A. enterprise B. differentiate C. diabetes D. diagnosis
เฉลย
- B
- A
- A
- A
- D
- D
- C
- A
- D
- A
III. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ suffixes บางตัวในภาษาอังกฤษ
Suffixes บางตัวในภาษาอังกฤษ เช่น s/es หรือ -ed นั้นมีแนวทางในการออกเสียงของตัวเอง ดังนั้นการเข้าใจถึงกฎการออกเสียงของ suffixes เหล่านี้สามารถช่วยทำให้การออกเสียงอังกฤษของเราถูกต้อง และเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากยิ่งขึ้น
1. Suffixs/es
Suffix s/es มีรูปแบบในการออกเสียงหลัก 3 แบบ ได้แก่:
การออกเสียง |
กฎการออกเสียงสําหรับ s/es |
ตัวอย่าง |
/s/ |
ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะไม่ก้อง: /θ/, /f/, /k/, /p/, /t/ |
|
/z/ |
ลงท้ายด้วยพยัญชนะก้องหรือเสียงสระ |
|
/iz/ |
ลงท้ายด้วยพยัญชนะไม่ก้อง: /s/ /ʃ/ /ʧ/ และพยัญชนะก้อง /z/ /ʒ/, /dʒ/ |
|
2. Suffix ed
Suffix ed มีรูปแบบในการออกเสียงดังต่อไปนี้:
ออกเสียง |
กฎการออกเสียงสําหรับ ed |
ตัวอย่าง |
/t/ |
กริยาที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะไม่ก้อง /s/, /f/, /p/, /ʃ/, /tʃ/, /k/ |
|
/id/ |
กริยาที่ลงท้ายด้วย /t/ หรือ/d/ |
Started (เริ่มแล้ว)
|
/d/ |
กริยาที่ลงท้ายด้วยสระหรือพยัญชนะก้อง /l/, /n/, /r/, /b/, /g/, /m/, /z/, /s/, /v/ |
|
3. ฝึกซ้อมการออกเสียง suffixes s/es, ed
ฝึกซ้อมการออกเสียง suffix s/es
เลือกคําศัพท์ที่ s/es ออกเสียงต่างจากคําอื่นๆ:
1. A. proofs B. books C. points D. days
2. A. helps B. laughs C. cooks D. finds
3. A. neighbors B. friends C. relatives D. photographs
4. A. snacks B. follows C. titles D. writers
5. A. streets B. phones C. books D. makes
6. A. cities B. satellites C. series D. workers
7. A. develops B. takes C. laughs D. volumes
8. A. phones B. streets C. books D. makes
9. A. proofs B. regions C. lifts D. rocks
10. A. involves B. believes C. suggests D. steals
เฉลย: 1 – D, 2- D, 3 – D , 4- A, 5- B, 6 – B, 7 – D, 8 – A, 9 – B, 10 – C
ฝึกซ้อมการออกเสียงsuffix ed
เลือกคําศัพท์ที่ ed ออกเสียงต่างจากคําอื่นๆ:
1. A. arrived |
B. believed |
C. received |
D. hoped |
2. A. opened |
B. knocked |
C. played |
D. occurred |
3. A. rubbed |
B. tugged |
C. stopped |
D. filled |
4. A. dimmed |
B. traveled |
C. passed |
D. stirred |
5. A. tipped |
B. begged |
C. quarreled |
D. carried |
6. A. tried |
B. obeyed |
C. cleaned |
D. asked |
7. A. packed |
B. added |
C. worked |
D. pronounced |
8. A. watched |
B. phoned |
C. referred |
D. followed |
9. A. agreed |
B. succeeded |
C. smiled |
D. loved |
10. A. laughed |
B. washed |
C. helped |
D. weighed |
เฉลย: 1 – D, 2 – B, 3 – C, 4 – C, 5 – A, 6 – D, 7 – B, 8 – A, 9 – B, 10 – D
IV. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - กฎในการเชื่อมเสียง
หลังจากที่คุณได้เรียนรู้การอ่านออกเสียงแต่ละพยางค์ซึ่งประกอบขึ้นเป็นคําได้อย่างถูกต้อง และกําหนดแบบระดับเสียง ขั้นตอนต่อไปที่สําคัญคือกฎการเชื่อมเสียง ดังนั้นกฎการเชื่อมเสียงในภาษาอังกฤษมีกี่ข้อที่คุณต้องจํา? มีกฎที่สําคัญบางข้อที่ควรฝึกจํา:
1. กฎการเชื่อมเสียงสระกับพยัญชนะ
เมื่อคําหนึ่งคำสิ้นสุดด้วยเสียงพยัญชนะ และคําถัดไปเริ่มต้นด้วยเสียงสระ พยัญชนะท้ายในคำแรกนั้นจะถูกยืมมาเพื่อเชื่อมกับสระเริ่มต้นของคําถัดไป ซึ่งก็คือ คําถัดไปนั้นจะเริ่มต้นด้วยเสียงพยัญชนะสุดท้ายของคําก่อนหน้า
ตัวอย่างเช่น:
- She can‿always help‿us. (เขาสามารถช่วยเราได้เสมอ)
- This‿is‿an exciting event. (นี่เป็นงานที่น่าตื่นเต้นมาก)
2. กฎการเชื่อมเสียงระหว่างสระกับสระ
เมื่อคําหนึ่งคำสิ้นสุดด้วยสระ และคําถัดไปเริ่มต้นด้วยสระด้วยเช่นกัน โดยสระสุดท้ายของคําแรกจะไปรวมกับสระเริ่มต้นของคําถัดไป และมีกฎการเชื่อมที่เฉพาะดังนี้:
- ถ้าคําแรกสิ้นสุดด้วยสระสั้น /ɪ/ หรือ /iː/ หรือพยางค์ /aɪ/ /eɪ/ หรือ /ɔɪ/ และคําถัดไปเริ่มต้นด้วยสระใดสระหนึ่ง เสียง /j/ จะถูกนำเข้าแทรกระหว่างคําทั้งสอง ตัวอย่าง Say it /sei jit/ (พูดสิ)
- ถ้าคําแรกสิ้นสุดด้วยสระที่ริมฝีปากห่อ เสียง /w/ จะถูกนำเข้ามาแทรกก่อนจะเริ่มเสียงสระถัดไป Do it /du: wit/ (ทำสิ๖
- ถ้าคําแรกสิ้นสุดด้วยสระยาวที่ริมฝีปากเหยียดออก เช่นเสียง 'e' 'i' เสียง /j/ จะนำเข้ามาใช้เชื่อมคําทั้งสอง I ask /ai ya:sk/ (ผมถาม)
3. กฎการเชื่อมเสียงระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ
ในกฎการออกเสียงภาษาอังกฤษ เมื่อมีพยัญชนะ 2 ตัวขึ้นไปที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันอยู่ใกล้กัน เราจะออกเสียงพยัญชนะนั้นเพียงแค่ตัวเดียว ตัวอย่าง With thanks : /wɪ ‘θ:æ̃ŋks/
กฎการเชื่อมเสียงพยัญชนะบางข้อ:
- /t/ + /j/ ➡ /tʃ/. ตัวอย่าง But use your head: /bətʃuːz jɔː hed/. (แต่ใช้หัวของคุณ)
- /d/ + /j/ ➡ / dʒ/. ตัวอย่าง She had university students: /ʃiː hædʒuːniːˈvɜːsɪti ˈstjuːdənts/. (เธอมีนักเรียนมหาวิทยาลัย)
4. แบบฝึกหัดการเชื่อมเสียง
อ่านออกเสียงและลองนํากฎการเชื่อมเสียงมาใช้กับคําศัพท์ต่อไปนี้:
- Look at that! - /lʊ kæt ðæt/ (ดูสิ!)
- Would you help me? - /wʊ dʒu hɛlp mi/ (ช่วยฉันได้มั้ย)
- Press your hands together - /prɛ ʃər hændz təˈgɛðər/ (กดมือเข้าด้วยกัน)
การฝึกการลอกเลียนแบบ(Shadowing technique) จะช่วยให้คุณสามารถเลียนแบบการพูดภาษาอังกฤษอย่างแม่นยํา จากการฟังการสนทนาของชาวต่างชาติ เพื่อใช้ในการพัฒนาทักษะการเชื่อมเสียงให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น!
V. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - Chunking rules
เพื่อให้เสียงของคุณดูอบอุ่น เหมือนกับเจ้าของภาษา และเป็นธรรมชาติเมื่อพูดภาษาอังกฤษ การเข้าใจวิธีการแบบ “chunking” จะเป็นประโยชน์กับคุณแน่นอน
ตรงนี้คือกฎการกลุ่มคําพื้นฐาน:
1.กฎที่ 1: จดจํา Chunking ที่มีอยู่แล้ว
กฎแรกคือใช้ chunks (การเว้นวรรค) ที่มีอยู่แล้วในภาษาอังกฤษ เช่น คําที่ต้องปรากฏร่วมกัน (Collocation) วลีเฉพาะ (Fixed expressions) กริยาวลี (Phrasal verbs) เครื่องหมายวาทกรรม (Discourse markers)
โดยสําหรับประเภทเหล่านี้ คุณควรจะพูดให้ติดต่อกันไปเลยดีกว่าที่จะแยกออกจากกัน
ตัวอย่าง:
- Collocation: Pose/ trigger a problem (ก่อให้เกิดปัญห).
- Fixed expressions: Day by day (ทุกวัน), now and then (นานๆ ), ups and down (ความยากลำบาก).
- Phrasal verbs: Take off (ถอดออก), set off (ออกเดินทาง).
- Discourse markers: By the way (อีกอย่างหนึ่ง), like I said (อย่างที่ฉันพูด).
2. กฎที่ 2: Chunking ตามวรรคตอน
การทำ chunking ยังสามารถอ้างอิงจากเครื่องหมายวรรคตอนได้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์พื้นฐานที่สุดเมื่อคุณต้องฝึกพูด โดยให้หยุดการพูดตามจังหวะของลูกน้ำหรือจุด เป็นต้น เพื่อให้เกิดการเว้นวรรคและการพูดนั้นเป็นธรรมชาติมากขึ้น
3. กฎที่ 3: Chunking หลังจากประโยคหรือวลีที่มีความหมายสมบูรณ์แล้ว
ในการสอบพูดภาษาอังกฤษ หรือการพูดในชีวิตประจำวัน การ chunking นั้นขึ้นอยู่กับคำพูดของเราด้วย เราควรที่จะหยุดหรือเว้นวรรคหลังจากประโยคหรือวลีที่มีความหมายครบแล้ว แต่ให้หลีกเลี่ยงกับเว้นวรรคโดยไม่มีเหตุผลด้วยนะ
4. ฝึก chunking กับตัวอย่างต่อไปนี้
“Okay so, / I’m going to tell you about an activity that I like to do / with an elderly person in my family, / and that is playing backgammon / with my mother.
You know backgammon is quite a popular board game back at home, / and whenever I go home and visit my mother, / you know we always sit down with a cup of tea / in the evening / and we have a few games of backgammon.”
(เครื่องหมาย / บ่งบอกการเว้นวรรค)
VI. วิธีออกเสียงภาษาอังกฤษ - การขึ้นเสียงสูงต่ำ
การขึ้นเสียงสูงต่ำของการพูดหมายถึงการเพิ่มหรือลดระดับของเสียง โดยการใช้เสียงสูงต่ำที่ถูกต้อง จะทําให้การพูดของคุณลื่นไหลและน่าสนใจมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถสื่อถึงอารมณ์ได้อย่างแท้จริง
หลักการของการขึ้นเสียงสูงต่ำสําคัญที่ควรจําได้แก่:
1. การขึ้นเสียงสูงต่ำเมื่อเกิดการเน้นเสียง
การเน้นเสียงในประโยคมักจะอยู่ที่คำเนื้อหา ซึ่งก็คือคำที่แสดงความหมายสำคัญ เช่น คำนาม หรือคำกริยา
ตัวอย่าง: I think there are a number of reasons for this. (ฉันคิดว่ามีสาเหตุหลายประการสำหรับเรื่องนี้)
ในประโยคนี้ คำเนื้อหาจะอยู่ที่ think ซึ่งเป็นกริยา และ number, reasons ซึ่งเป็นคำนาม
2. การขึ้นเสียงสูงต่ำขึ้นอยู่กับเนื้อหา
โดยเราจะมีการเพิ่มลดเสียงสูงต่ำตามเนื้อหาของประโยค
การใช้เสียงสูงต่ำ |
ตัวอย่างกรณี |
ขึ้นเสียง |
|
ลดเสียง |
|
3. มาลองฝึกใช้กฎการขึ้นเสียงสูงต่ำ
ใส่เครื่องหมาย ↓ เพื่อแสดงการลดเสียง หรือ ↑ เพื่อแสดงการขึ้นเสียง ในประโยคต่อไปนี้แล้วฝึกออกเสียงด้วย
- What are you learning? (แกกำลังเรียนรู้อะไรอยู่)
- Do you want to learn English? (อยากเรียนภาษาอังกฤษไหม)
- Of course, but I don’t know where. (แน่นอน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนอ่ะ)
- I will learn pronunciation there immediately. (เราจะเรียนการออกเสียงที่นั่นทันทีเลย)
เฉลย
- What are you doing? ↓
- Do you want to learn English? ↑
- Of course, but I don’t know where? ↑
- I will learn pronunciation there immediately. ↓
VII. แนวทางการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ
เราขอให้คุณจําแนวทางการฝึกออกเสียงเหล่านี้เพื่อให้ออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
1. เลือกสําเนียงต้นแบบ
คุณควรตัดสินใจว่าจะเลือกความสําเนียงอังกฤษ (บริติช) หรืออเมริกันสำหรับการเรียนของคุณ เนื่องจากว่าสําเนียงทั้งสองมีกฎการออกเสียงและลักษณะที่แตกต่างกัน การเข้าใจความต่างของทั้งสองสำเนียงนี้จะช่วยไม่ให้เกิดความสับสนในการออกเสียง
2. ฝึกพูดทุกวัน (ฝึกเองหรือกับเพื่อน)
เพื่อพัฒนาทักษะออกเสียงอย่างสม่ำเสมอ สำคัญมากที่คุณควรฝึกซ้ำทุกวัน โดยคุณสามารถอ่านออกเสียงดังๆ ฝึกพูดต่อหน้ากระจก หรือฝึกฝนกับเพื่อนในตอนที่มีโอกาส
ในระหว่างการฝึกพูด คุณยังสามารถใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดในออกเสียงและสัทศาสตร์ เช่น อ่านคําตัวอย่างจากพจนานุกรม Cambridge หรือ Oxford Learner Dictionary
3. ฟังบทสนทนาบ่อยๆ
การฝึกฟังบทสนทนาประจำวันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยปรับปรุงวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษของคุณ ปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลการฟังให้ดาวน์โหลดมากมาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น วัสดุการฟังจาก British Council, IDP, PREP's Test Practice หรือพอดแคสต์ภาษาอังกฤษ
4. เรียนรู้และฝึกกฎการออกเสียงภาษาอังกฤษกับ Prep
กับหลักสูตรของ PREP ซึ่งเรามีเนื้อหาในการเรียนจํานวนมากจากครูที่เชี่ยวชาญ ซึ่งได้ออกแบบสําหรับผู้เรียนตั้งแต่ระดับพื้นฐาน รวมถึงเรายังมีมีบทเรียนสำหรับวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงระดับสูง ดังนั้นคุณจะได้เรียนทั้งทฤษฎี ฝึกปฏิบัติ และทดสอบออนไลน์ รวมถึงติดตามความก้าวหน้าด้วยตนเองด้วย และไม่ใช่เพียงการออกเสียงเท่านั้น แต่ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษโดยรวมและความมั่นใจในการสอบระดับนานาชาติจะได้รับการพัฒนาจากการเรียนรู้ และมั่นใจได้เลยว่า PREP จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ!
ความคิดเห็น
ค้นหาบทความการศึกษา
อ่านมากที่สุด
2 เคล็ดลับในการเพิ่มคะแนนและเลี่ยงการหลุดประเด็น IELTS Writing
เจาะลึก IELTS Writing Task 1 ประเภท Process พร้อมเทคนิคเขียนให้ได้คะแนนสูง
Dictation: วิธีฝึกเขียนตามคำบอกเพื่อเพิ่มคะแนน IELTS Listening
ทำความเข้าใจโครงสร้างข้อสอบ IELTS ทั้ง Listening, Reading, Writing และ Speaking
[UPDATE] โครงสร้างข้อสอบ IELTS Listening - ทำความเข้าใจเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
ลงทะเบียนเพื่อรับคำปรึกษาแผนการเรียน
กรุณาแจ้งข้อมูลของคุณ Prep จะติดต่อเพื่อให้คำปรึกษาให้คุณทันที!